หมายสำคัญ
โดย อ. ประพันธ์ หน่อราช
ยอห์น 6.1-65
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม” (ยอห์น 6.26)
หลังจากที่พระเยซูได้ทรงทำการอัศจรรย์เลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวแล้ว พระองค์ได้พาสาวกข้ามทะเลสาบไป แต่ประชาชนจำนวนมากที่ได้ลิ้มชิมรสอาหารจากสวรรค์แล้วนั้นได้พากันเดินลงเรือไปดักรอพบพระองค์ที่อีกฟากฝั่งหนึ่ง
เมื่อพบพระองค์แล้ว พวกเขาทำทีเป็นเหมือนบังเอิญที่ได้พบกับพระองค์ที่นั่น ทักทายพระองค์ทำนองว่า “เอ๊ะ พระอาจารย์มาที่นี่ด้วยหรือ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” (ข้อ 25) การมีเจตนาบางอย่างแอบแฝงซ่อนเร้น ทำให้พวกเขาต้องเสแสร้งออกไปอย่างนั้น แต่ความในใจของพวกเขาไม่อาจซ่อนเร้นจากพระเยซูได้เลย พระองค์เปิดโปงเจตนาของพวกเขาในทันที
ถ้อยคำของพระองค์แสดงถึงความผิดหวังอย่างยิ่ง “พวกท่านตามหาเรามิใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม (หรืออยากกินขนมปังอีก)” (ข้อ 26)
พระเยซูทรงแยกแยะระหว่าง การมีประสบการณ์ในการอัศจรรย์ (กินขนมปังอิ่ม) กับการ “เห็น”หมายสำคัญ...
หลายครั้ง เราอดอาหาร อธิษฐาน และคาดหวังให้เกิดการอัศจรรย์ขึ้นในการประกาศพระกิตติคุณของเรา เรามั่นใจเหลือเกินว่า “ขอเพียงพระเจ้าทำการอัศจรรย์ รับรองคนไทยทั้งประเทศมาเชื่อในพระเจ้าแน่”
แต่เชื่อว่า เราคงเคยผิดหวังเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว เปล่า... ไม่ใช่ที่ไม่ได้เห็นการอัศจรรย์หรอก การอัศจรรย์เกิดขึ้นบ่อยๆ การอัศจรรย์ยังคงเกิดขึ้นได้ในทุกวันนี้ มีคำพยานในเรื่องเหล่านี้มากมาย แต่ที่ผิดหวังก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่หายโรค และมีประสบการณ์กับอัศจรรย์ในพระเจ้าจะมาเชื่อในพระเจ้าเสมอไป
พระเยซูทรงยืนยันว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เห็นการอัศจรรย์จะเห็นหมายสำคัญเสมอไป
เมื่อผมเริ่มต้นรับใช้พระเจ้าเต็มเวลาครั้งแรกนั้น เป็นช่วงที่นักเทศน์รักษาโรคท่านหนึ่งขึ้นไปทำการที่สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ มีการอัศจรรย์และการรักษาโรคเกิดขึ้นมากมาย คริสตจักรของเราได้รับแบ่งรายชื่อผู้เชื่อใหม่มาหลายร้อยคน ผมจึงอาสาที่จะออกไปติดตามผลผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นในอำเภอชนบทแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก
มีคุณยายคนหนึ่งที่ระบุในบัตรตัดสินใจว่า หายจากอาการอัมพาต เดินไม่ได้มาหลายปี ดูตามที่อยู่ที่แจ้งไว้ คุณยายมีบ้านอยู่ใกล้ๆ ตลาดในตัวอำเภอ ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตามอยู่สองวันจึงเจอบางคนที่รู้จักคุณยายคนนี้ คนข้างบ้านยืนยันว่าคุณยายหายอัมพาตจริง แต่ตอนนี้คุณยายไม่อยู่บ้าน
ผมถามว่า ท่านไปที่ไหน? เพื่อนบ้านตอบว่า คุณยายไปฟังเทศน์และทำบุญ เพราะไม่ได้ไปวัดมานานแล้วเนื่องจากเป็นอัมพาต เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้ยินว่าไปให้หมอฝรั่งรักษาโรคที่สนามกีฬาฯ พอหายแล้วจึงดีใจมาก ได้ไปวัดเสียที
ผมก็ได้แต่งง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่หายโรคโดยพระนามของพระเยซูแล้ว กลับมองไม่เห็นความสำคัญของพระองค์เลย ทำไมการอัศจรรย์ใหญ่หลวงอย่างนั้น กลับไม่สามารถหันจิตใจของคนออกจากรูปเคารพมาสู่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ได้เลย?
คำตอบก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นการอัศจรรย์ จะเห็นหมายสำคัญเสมอไป
การอัศจรรย์กับหมายสำคัญ แตกต่างกันอย่างไร?
หมายสำคัญ ตามแนวคิดของพระคัมภีร์นั้น หมายถึง การอัศจรรย์ที่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงสัจธรรมที่สำคัญบางอย่าง
นั่นคือ พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์เดชและการอัศจรรย์ก็เพื่อจะชี้ให้คนเราเห็นความจริงที่สำคัญฝ่ายวิญญาณบางอย่างนั่นเอง
การที่พระเยซูรักษาคนตาบอด ก็เพื่อจะบ่งชี้ว่า พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก
เมื่อพระองค์ทรงรักษาโรค ทำให้คนโรคเรื้อนหายสะอาด ก็เพื่อจะสำแดงให้คนทั้งหลายได้เห็นว่า พระองค์ทรงสามารถหอบเอาความบาปของเราไปได้ เป็นพระผู้ช่วยเราให้รอดจากบาป
พระองค์ทรงทำให้ลาซารัสและคนอื่นๆ เป็นขึ้นมาจากความตายก็เพื่อเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงสัจธรรมที่ว่า “เราเป็นเหตุให้คนปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต”... พระองค์ทรงเป็นชีวิตนิรันดร์นั่นเอง
พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารจากสวรรค์แก่คนเหล่านั้น ก็เพื่อจะบ่งบอกว่า พระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของพระองค์จะมีชีวิต (ข้อ 50-55)
หลายคนยังมีเศษขนมปังและเนื้อปลาติดฟันอยู่ แต่ก็ไม่เคยมองเห็นสัจธรรมที่พระเยซูพยายามจะสำแดงผ่านทางการอัศจรรย์ในครั้งนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นเป็นประสบการณ์สุดยอด.. น่าตื่นเต้น.. อร่อย.. และมันส์.. คนที่กระทำอิทธิฤทธิ์อย่างนี้ได้ต้องถือเป็นยอดคน สมควรแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ เป็นผู้นำ เพื่อจะเลี้ยงพวกเขาด้วยอาหารวิเศษเช่นนี้ตลอดไป (ข้อ 15,
...เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและวางใจในท่าน ท่านจะกระทำอะไรบ้าง บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร (เราก็อยากกินบ้าง... ได้ไหม?) (ข้อ 30-31)
พระเยซูพยายามชักนำความคิดของพวกเขาออกจากการยึดติดอยู่เพียงการอัศจรรย์ ไปสู่หมายสำคัญ
...“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า... พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ ให้แก่ท่านทั้งหลาย เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” (ข้อ 33)
แต่จิตใจของพวกเขา ก็ยังคงยึดติดอยู่กับแค่อาหารฝ่ายเนื้อหนังเท่านั้น
เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้น (ขนมปัง) แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด” (ข้อ 34)
พระองค์ยังคงไม่ละความพยายาม
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย” (ข้อ 35)
แต่... “เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านได้เห็นเราแล้วแต่ก็ไม่เชื่อ” (ข้อ 36)
อัครทูตยอห์น กล่าวไว้ในพระกิตติคุณบทที่ 20 ข้อ 30-31 ว่า “พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายประการต่อหน้าสาวกเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์”
นั่นคือเป้าหมายจุดประสงค์สำคัญที่สุดของการกระทำหมายสำคัญ
เพื่อให้ทุกคนได้ “เห็น” ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งการเชื่อหรือการเห็นเช่นนั้นเอง ที่ทำให้เขาได้รับชีวิตนิรันดร์โดยพระนามของพระองค์
แต่น่าเศร้าใจที่ ไม่ใช่ทุกคนที่หายโรค ทุกคนที่ได้พบและสัมผัสกับการอัศจรรย์ จะได้ “เห็น” ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า (ทั้งๆ ที่เป็นประสบการณ์จริง) บางคนเห็นพระองค์เป็นหมอฝรั่ง บางคนเห็นพระองค์เป็นแค่ศาสดา เป็นคนดี เป็นอาจารย์ เป็นอะไรก็ตามแต่จะจินตนาการไป แต่ไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอด
น่าเสียดายที่คริสเตียนจำนวน ทั้งๆ ที่รับเชื่อพระเจ้ามานานหลายปีแล้วก็ยังคงติดอยู่ระดับของการอัศจรรย์ และไม่เคยมองทะลุไปถึงหมายสำคัญ และก้าวเข้าไปสู่การมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์เป็นส่วนตัว
ไม่ต่างอะไรกับคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร ที่มองเห็นการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตลอดระยะเวลาสี่สิบปี แต่สุดท้ายก็พากันล้มตายไปในความไม่เชื่อจนหมดสิ้นทุกคน
บทเรียนสำหรับเราในเรื่องนี้คืออะไร? ไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องทำการอัศจรรย์หรือ?
เปล่าเลย ให้เราทำยิ่งมากขึ้น แต่อย่ายึดติดอยู่กับการอัศจรรย์ อย่าติดตามนักเทศน์ เพราะ “ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างบ้าน คนทำงานก็เหนื่อยเปล่า” ให้เราทำการของพระเจ้าด้วยการพึ่งพาในพระเจ้า อย่าไว้ใจในเนื้อหนัง และอย่าไว้ใจแม้แต่ในของประทานของเราเอง
“ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา จะทรงชักนำให้เขามาและเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ผู้เผยพระวจนะว่า 'พระเจ้าจะทรงสั่งสอนเขาทุกคน' ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา” (ข้อ 44-45)
โดย อ. ประพันธ์ หน่อราช 9 กุมภาพันธ์ 2010
* อ.ประัพันธ์ หน่อราช เป็นธรรมาจารย์ ที่มีของประทานในการสอน คือเป็นครูอาจารย์ (เอเฟซัส 4.11)
การสอนของท่าน ทำให้คริสเตียนได้รับความเข้าใจ และเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ เกิดการฟื้นใจอย่างมาก คริสตจักรใดสนใจติดต่อให้ท่านไปสอน ติดต่อทางอีเมล์ที่ pnawrat@gmail.com
-- ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว
รีวัฒน์ เมืองสุริยา
ขอบคุณมากๆ ค่ะ... ได้รับพระพรอย่างมากเลย..
ตอบลบ