หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความเห็นมั่วๆ แบบต่างคนต่างคิด มุมมองจากหนังสือเล่มเดียวกัน แต่ต่างกันราวฟ้ากับดิน


เนื่องจากเนื้อที่ไม่ค่อยพอ สำหรับการโต้เถียงและปะทะคารมระหว่าง พวกคริสต์ที่เชื่อเรื่องฤทธิ์เดชของพระวิญญาณพระเจ้ากับพวกไม่เชื่อ ผมในฐานะคนดูแลเว็บบล๊อคแห่งการประกาศ จึงขอนำเอาข้อโต้แย้งของคนไม่เชื่อเรื่องการเจิมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้ามาให้ คนที่สนใจเรื่องนี้ได้อ่านดูแนวคิด ของพวกต่อต้านดูบ้าง

.......................................
การฟื้นฟูจิตวิญญาณจริงหรือ? ตอน : ล้มในพระวิญญาณ!
“การฟื้นฟูในรูปแบบใหม่! เชิญรับการสัมผัสจากพระเจ้า
การเปลี่ยนแปลงในชีวิตคริสเตียนของท่าน
โดยทีมงานของคริสตจักรที่มีการฟื้นฟูทุกคนอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานับปี
และเป็นสื่อของการฟื้นฟูไปทั่วโลก”
นี่เป็นคำโฆษณาเชิญชวนให้คริสเตียนไปร่วมประชุมฟื้นฟูเพื่อ “ล้มในพระวิญญาณ!”
ระหว่างที่มีการฟื้นฟู คนก็นิ่งไปและไหลลงไปนอนราบกับพื้น บางคนกระตุก บางคนส่งเสียงแปลกๆ...คนที่ได้รับการอธิษฐานส่วนมากจะล้มลงไปนอนกับพื้น การล้มลงไปนอนแบบนี้เรียกว่า การพักในพระวิญญาณ

คนที่มาอธิษฐานให้นั้นจะมีผู้ช่วยอีกคนหนึ่งมายืนด้านหลัง เพื่อรับคนที่มักจะล้มลงเมื่อรับการอธิษฐาน คนที่รับการอธิษฐานจะมีบางคนที่ยืนเฉยๆ หรือยืนสั่น แต่ส่วนใหญ่จะล้มลงไปนอนสงบ จะมีบางคนนอนหัวเราะ บางคนก็ไม่มีแรงลุกขึ้นจากพื้น เป็นเวลานานหลายชั่วโมง

การฟื้นฟูแบบนี้มาจากพระเจ้าหรือจากผีมารซาตาน?
มีคำถามว่า การประชุมแบบนี้ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์หรือไม่? เพราะในโลกทุกวันนี้มีวิญญาณเท็จจำนวนมากที่เร่ร่อนไปทำการอัศจรรย์ต่างๆ โดยแอบอ้างพระนามของพระเยซูคริสต์ หรือเป็นเพียงการชักจูงหรือเร้าอารมณ์ เป็นการอาศัยวิชาทางด้านจิตวิทยาไหม? หรือว่ามีการตรียมการมาเพื่อแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้น โดยมีการจัด “หน้าม้า” มาทำให้มันดูเหมือนจริงและน่าเชื่อถือ!

กลุ่มฟื้นฟูฯอ้างว่า เมื่อมีการสำแดงจากพระเจ้าจะมีการล้มลง สาเหตุแห่งการล้มลงได้แก่
- พวกเขากลัวในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
- เพื่อเป็นการบังคับให้นอน อันเนื่องมาจากความเย่อหยิ่งและกบฏของมนุษย์
- เพื่อให้พักผ่อนหรือรับการรักษา
- การล้มไปข้างหลังอันเนื่องมาจากน้ำหนักพระสิริของพระเจ้า
คำกล่าวอ้างเหล่านี้ฟังเข้าทีดี แต่ว่าเราต้องหาหลักฐานที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ มีบ้างไหมที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเรื่องเหล่านี้?

ข้อสังเกต : กลุ่มฟื้นฟูฯ(ผงทองคำ)เหล่านี้มักจะอ้างพระคัมภีร์ตอนหนึ่งว่า “มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่เขียนนั้น” (ยน. ๒๑.๒๕) พวกเขาก็เลยตีความว่า การอัศจรรย์บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นในสมัยพระคัมภีร์ แต่ไม่ได้บันทึกไว้!

ถ้าเป็นซะอย่างนี้แล้ว ก็เท่ากับพูดว่า พระคัมภีร์ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นะซิ?
โอ...ชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว พี่น้องเอ๋ย!



...........ล๊อกสอง ผมคิดว่าคงเป็นนักเขียนคนเดียวกัน  ................
มาว่าเรื่องสโลแกนของเขา “รอด รวย สวย ดัง”

แหม มันทันสมัยเปรี๊ยะเลย (เหมือนกับพวกร้านเสริมสวยเพื่อแต่งเติมความงามให้แก่สาวๆ “ขาว สวย หมวย

อึ๋ม”) พอเข้าใจได้ในคำแรก คือ “รอด” ใครที่เข้ามาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาคนนั้นรอดพ้นจากความบาปและมีชีวิตนิรันดร์แล้ว (ยน. ๓.๑๖, รม. ๖.๒๓)

คำที่สอง “รวย” คำนี้สามารถตีความหมายได้สองอย่างคือ (๑) ร่ำรวยฝ่ายโลกนี้ เป็นไปได้ที่พระเจ้าจะให้คริสเตียนเป็นคนที่มั่งมี แต่ก็มีคำเตือนให้ระมัดระวังด้วยว่า อย่าไปหลงรักเงินทอง มันจะทำให้เกิดความโลภและตรอมตรมด้วยความทุกข์ และห่างไกลจากความเชื่อ” (๑ ทธ. ๖.๑๐) ส่วนใหญ่แล้วพระคัมภีร์สอนให้ผู้เชื่อมีชีวิตอยู่แบบพอเพียง และ (๒) ร่ำรวยในสวรรค์ เรื่องนี้พระคัมภีร์พูดไว้มากมายทีเดียว พระเจ้าได้จัดเตรียมบำเหน็จ มรดก สิ่งที่ดีที่สุดไว้สำหรับลูกของพระองค์ เป้าหมายของคริสเตียนไม่ได้อยู่ที่โลกนี้ แต่อยู่ที่สวรรค์

คำที่สาม “สวย” ตรงนี้เข้าใจยากนิดหน่อย เพราะสวยอาจจะหมายถึงการแต่งกายสวย เสื้อผ้าราคาแพง ประดับประดาเพชรนิลจินดา ใช้เครื่องสำอาง พอกหน้า ดึงหน้า เหลาคาง ทำตาสองชั้น เสริมดั้งจมูก ขัดสีผิวให้มันขาวเนียล ใส่บิ๊กอายให้ดูตาโตมีประกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “อนิจจัง” เท่านั้น

ผมเข้าใจว่า “สวย” น่าจะมีความหมายถึงความงามในจิตใจและจิตวิญญาณของคริสเตียนมากกว่า เพราะถ้าพระเจ้ามองก็ดีกว่ามนุษย์มอง จริงไหม? พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าไม่ได้ทอดพระเนตรที่รูปร่างภายนอก แต่ทอดพระเนตรภายในจิตใจ (๑ ซมอ. ๑๖.๗)

คำสุดท้าย “ดัง” มาถึงตรงนี้ผมก็จนด้วยเกล้า(แหะๆ) พระเจ้าต้องการให้คุณเป็นคนดังไหม? ประเภทซุปเปอร์สตาร์ idol อะไรทำนองนั้น?

อาจจะเป็นไปได้ว่า เมื่อคุณเป็นคริสเตียนแล้ว ประกาศ เป็นพยาน สอนพระคัมภีร์และเทศนาเก่ง นำคนมารับเชื่อพระคริสต์ ตั้งคริสตจักรขึ้น ขยายคริสตจักรออกไป หรือส่งคนไปเป็นมิชชันนารียังต่างประเทศฯ ผู้คนก็เลยรู้จักคุณ และคุณก็เลยกลายเป็นคนเด่นคนดังไป

นี่ผมเดาเอานะ ถ้าใครรู้ความหมายขอช่วยบอกผมที!. 



.......................ฉบับที่สาม คิดว่ามาจากแหล่งเดียวกันอีก......


รอด รวย สวย ดัง!

ชื่อของบทความนี้ได้มาจากสโลแกนของคริสตจักรแห่งหนึ่งแถวปทุมธานี

เป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับท้องฟ้า ซึ่งเชื่อว่าแฟนของไทยเซอร์มอนเราหลายคนได้เข้าไป

เยี่ยมชมแล้ว ผมเองวันก่อนก็พอมีเวลาว่างนิดหนึ่ง ก็เลยแว๊บเข้าดูกับเค้าหน่อย

โดยทั่วไปแล้ว เราต้องยอมรับว่าคริสตจักรแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาน่าทึ่งอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะตัวศิษยาภิบาลเองที่เริ่มต้นงานรับใช้พระเจ้าทางภาคอีสาน แบบล้มลุกคลุกคลาน ชนิดจะไปรอดแหล่หรือไม่รอดแหล่ก้ำกึ่งกัน ดูเหมือนว่าท่านยากจนค่นแค้นเหลือเกิน แต่ด้วยการอธิษฐานและความอดทน ท่านอธิษฐานขอเงินจากพระเจ้า ๕๐๐ บาทแต่พระองค์ไม่ไห้ จึงเปลี่ยนคำอธิษฐานใหม่ว่า ขอพระเจ้าทรงเลี้ยงในแต่ละวันก็แล้วกัน อา..จึงรอดมาได้

จับผลัดจับผลูมาเริ่มงานประกาศที่แถวปทุมธานี เริ่มต้นต้นด้วยสมาชิกเพียง ๒ คน เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนสมาชิกก็เพิ่มขึ้นเป็น ๑๕๐ คน ที่สำคัญคือเขาบอกว่า เดี๋ยวนี้คริสตจักรแห่งนี้ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากภายนอกเลย เป็นคริสตจักรที่สามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ

ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ

ปัจจุบันศิษยาภิบาลรับเงินเดือนๆละ ๓ แสนบาท (นับไม่ผิดครับ เลขสามนำหน้าและตามด้วยเลขศูนย์อีก ๕ ตัว)

เงินเยอะดีครับ ยังไม่เคยได้ยินว่า คริสตจักรไหนในประเทศไทยให้เงินผู้รับใช้มากมายขนาดนี้

แต่ผมก็ไม่ได้ถามว่าท่านเอาเงินจำนวนมหาศาลนี้ไปทำอะไรนักหนา

เล่นเอาผู้รับใช้ที่กระจอกงอกง่อยตามชนบทตาลุกวาวเชียว!!

แน่นอน ถ้าเราเน้นแต่เรื่องเงิน เราก็จะได้เงิน ไม่ผิดหรอกที่จะได้เงินมาโดยสุจริต แต่มันจะผิดเมื่อคุณให้น้ำหนักของมันมากกว่าพระเจ้า และจะยังผิดไปใหญ่เมื่อคุณใช้พระเจ้าเป็นช่องทางทำเงิน(ทำมาหารับประทาน) พระคัมภีร์บอกว่าบางคนถือว่า “พระคือกระเพาะ” คนไทยรู้จักดีในนาม “มารศาสนา”

วันก่อนไปแวะร้านขายหนังสือ เจอะเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ทันทีที่เห็นเขาผมก็กระโดดใส่และพูดขึ้นว่า “อาจารย์รู้ไหม มีคริสตจักรแห่งหนึ่ง เขาให้เงินเดือนผู้รับใช้ของพระเจ้าเดือนละ ๓ แสนแน่ะ” (ผมยิ้มๆและนึกใจในว่า “เอ็งคงจะอิจฉาเขาล่ะสิ”-ฮา)

มาคิดถึงตัวผมเองเป็นผู้รับในฐานะศิษยาภิบาล ทำงานรับใช้มามากกว่า ๓๐ ปีทั้งในองค์กร องค์การและคริสตจักร มีโบสถ์ที่อยู่ในเครือข่ายที่ผมต้องดูแล ๑๒ แห่ง ทั้งเขียนหนังสือมากมายหลายสิบเล่ม จัดทำเว็บไซต์ www.thaisermons.com สำหรับคริสเตียนระดับผู้นำ มีคนเข้าเยี่ยมชมเว็บวันละ ๗๐๐-๑๐๐๐ คน แต่เงินเดือนของผมยังไม่เคยทะลุ ๒๐,๐๐๐ บาทเลย(ตัวเลขสองหมื่นบาทไม่ผิดแน่ครับ) และเงินเดือนจำนวนนี้ผมเองก็ยังรู้สึกว่ามากไป เพราะผมกินอาหารแค่มื้อละไม่เกิน ๕๐ บาท วันหนึ่งก็ใช้เงินเพียง ๑๕๐ บาท เดือนหนึ่งก็ตกราว ๔,๕๐๐ บาท ที่เหลือก็ซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นบางอย่าง ซึ่งก็ใช่ว่าจะต้องซื้อบ่อยๆทุกเดือน แล้วผมก็เลยยังมีเงินเหลือพอที่จะเจียดช่วยเจือจานคนอื่นที่ขัดสนต่อไป 



แน่นอน ถ้าเราเน้นแต่เรื่องเงิน เราก็จะได้เงิน ไม่ผิดหรอกที่จะได้เงินมาโดยสุจริต แต่มันจะผิดเมื่อคุณให้น้ำหนักของมันมากกว่าพระเจ้า และจะยังผิดไปใหญ่เมื่อคุณใช้พระเจ้าเป็นช่องทางทำเงิน(ทำมาหารับประทาน) พระคัมภีร์บอกว่าบางคนถือว่า “พระคือกระเพาะ” คนไทยรู้จักดีในนาม “มารศาสนา”

วันก่อนไปแวะร้านขายหนังสือ เจอะเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ทันทีที่เห็นเขาผมก็กระโดดใส่และพูดขึ้นว่า “อาจารย์รู้ไหม มีคริสตจักรแห่งหนึ่ง เขาให้เงินเดือนผู้รับใช้ของพระเจ้าเดือนละ ๓ แสนแน่ะ” (ผมยิ้มๆและนึกใจในว่า “เอ็งคงจะอิจฉาเขาล่ะสิ”-ฮา)

มาคิดถึงตัวผมเองเป็นผู้รับในฐานะศิษยาภิบาล ทำงานรับใช้มามากกว่า ๓๐ ปีทั้งในองค์กร องค์การและคริสตจักร มีโบสถ์ที่อยู่ในเครือข่ายที่ผมต้องดูแล ๑๒ แห่ง ทั้งเขียนหนังสือมากมายหลายสิบเล่ม จัดทำเว็บไซต์ www.thaisermons.com สำหรับคริสเตียนระดับผู้นำ มีคนเข้าเยี่ยมชมเว็บวันละ ๗๐๐-๑๐๐๐ คน แต่เงินเดือนของผมยังไม่เคยทะลุ ๒๐,๐๐๐ บาทเลย(ตัวเลขสองหมื่นบาทไม่ผิดแน่ครับ) และเงินเดือนจำนวนนี้ผมเองก็ยังรู้สึกว่ามากไป เพราะผมกินอาหารแค่มื้อละไม่เกิน ๕๐ บาท วันหนึ่งก็ใช้เงินเพียง ๑๕๐ บาท เดือนหนึ่งก็ตกราว ๔,๕๐๐ บาท ที่เหลือก็ซื้อข้าวของเครื่องใช้จำเป็นบางอย่าง ซึ่งก็ใช่ว่าจะต้องซื้อบ่อยๆทุกเดือน แล้วผมก็เลยยังมีเงินเหลือพอที่จะเจียดช่วยเจือจานคนอื่นที่ขัดสนต่อไป

มาว่าเรื่องสโลแกนของเขา “รอด รวย สวย ดัง”

แหม มันทันสมัยเปรี๊ยะเลย (เหมือนกับพวกร้านเสริมสวยเพื่อแต่งเติมความงามให้แก่สาวๆ “ขาว สวย หมวย

อึ๋ม”) พอเข้าใจได้ในคำแรก คือ “รอด” ใครที่เข้ามาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาคนนั้นรอดพ้นจากความบาปและมีชีวิตนิรันดร์แล้ว (ยน. ๓.๑๖, รม. ๖.๒๓)

คำที่สอง “รวย” คำนี้สามารถตีความหมายได้สองอย่างคือ (๑) ร่ำรวยฝ่ายโลกนี้ เป็นไปได้ที่พระเจ้าจะให้คริสเตียนเป็นคนที่มั่งมี แต่ก็มีคำเตือนให้ระมัดระวังด้วยว่า อย่าไปหลงรักเงินทอง มันจะทำให้เกิดความโลภและตรอมตรมด้วยความทุกข์ และห่างไกลจากความเชื่อ” (๑ ทธ. ๖.๑๐) ส่วนใหญ่แล้วพระคัมภีร์สอนให้ผู้เชื่อมีชีวิตอยู่แบบพอเพียง และ (๒) ร่ำรวยในสวรรค์ เรื่องนี้พระคัมภีร์พูดไว้มากมายทีเดียว พระเจ้าได้จัดเตรียมบำเหน็จ มรดก สิ่งที่ดีที่สุดไว้สำหรับลูกของพระองค์ เป้าหมายของคริสเตียนไม่ได้อยู่ที่โลกนี้ แต่อยู่ที่สวรรค์

คำที่สาม “สวย” ตรงนี้เข้าใจยากนิดหน่อย เพราะสวยอาจจะหมายถึงการแต่งกายสวย เสื้อผ้าราคาแพง ประดับประดาเพชรนิลจินดา ใช้เครื่องสำอาง พอกหน้า ดึงหน้า เหลาคาง ทำตาสองชั้น เสริมดั้งจมูก ขัดสีผิวให้มันขาวเนียล ใส่บิ๊กอายให้ดูตาโตมีประกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “อนิจจัง” เท่านั้น

ผมเข้าใจว่า “สวย” น่าจะมีความหมายถึงความงามในจิตใจและจิตวิญญาณของคริสเตียนมากกว่า เพราะถ้าพระเจ้ามองก็ดีกว่ามนุษย์มอง จริงไหม? พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าไม่ได้ทอดพระเนตรที่รูปร่างภายนอก แต่ทอดพระเนตรภายในจิตใจ (๑ ซมอ. ๑๖.๗)

คำสุดท้าย “ดัง” มาถึงตรงนี้ผมก็จนด้วยเกล้า(แหะๆ) พระเจ้าต้องการให้คุณเป็นคนดังไหม? ประเภทซุปเปอร์สตาร์ idol อะไรทำนองนั้น?

อาจจะเป็นไปได้ว่า เมื่อคุณเป็นคริสเตียนแล้ว ประกาศ เป็นพยาน สอนพระคัมภีร์และเทศนาเก่ง นำคนมารับเชื่อพระคริสต์ ตั้งคริสตจักรขึ้น ขยายคริสตจักรออกไป หรือส่งคนไปเป็นมิชชันนารียังต่างประเทศฯ ผู้คนก็เลยรู้จักคุณ และคุณก็เลยกลายเป็นคนเด่นคนดังไป

นี่ผมเดาเอานะ ถ้าใครรู้ความหมายขอช่วยบอกผมที!. 



เจ้าของบทความนี้ คือ คุณธวัช เย็นใจ
มีคนฟอร์เวิร์ดมาให้ -คลิก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ