หน้าเว็บ

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

คำพยานของแพทย์ที่มารู้จักพระเยซู

นท.นพ. ภากร จันทนมัฎฐะ รน. - คุณหมอหัวชนฝา กับวิทยาศาสตร์ แห่งวงการแพทย์

Christian Siam - เวบสำหรบคนอยากรจกพระเจา พระเยซ | อยากเปนครสเตยน | อยากไปโบสถ (ครสตจกร)| พระครสตธรรมคมภร พระคมภร Bible| เกดมาทำไม| ตายแลวไปไหน| ชวตคออะไร| คนหาความหมายของชวตไดทน ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนคนเดียวในครอบครัว เป็นคริสเตียนคนเดียวท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าทั้งที่บ้านและที่ทำ งาน ข้าพเจ้าเพิ่งรับเชื่อมาได้ประมาณ 3 ปี การมาพบพระเจ้าของข้าพเจ้าไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไรนัก แต่หลังจากได้รู้จักพระองค์แล้ว ข้าพเจ้าได้ทราบว่าพระองค์คือคำตอบของสิ่งที่ข้าพเจ้าค้นหามาเป็นเวลานาน
การแสวงหาพระเจ้าของข้าพเจ้านั้น เกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆ 2 ประการ

ประการแรก
คือ เนื่องด้วยอาชีพของข้าพเจ้าที่เป็นแพทย์โรคหัวใจ ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสใกล้ชิดกับความตาย ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าความตายเป็นเพชฌฆาตที่แม่นยำที่สุด อดทนที่สุด เหนือความคาดเดามากที่สุด ไม่เคยมีเหยื่อคนใดที่รอดพ้นไปได้เลย และเมื่อเพื่อนสนิทของข้าพเจ้าต้องจากไปอย่างกระทันหันด้วยวัยอันไม่สมควรคน แล้วคนเล่า ก็ยิ่งเตือนให้ข้าพเจ้าทราบว่าความตายอยู่ใกล้แค่นี้เอง อยู่ภายใต้เท้าของเราทุกคน และไม่มีอะไรเป็นเครื่องรับประกันว่าจะยังคงมีพรุ่งนี้สำหรับเราแต่ละคน
ข้าพเจ้า ได้ดูแลผู้ป่วยใกล้ตายทั้งคนธรรมดาสามัญไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ ทั้งคนยากจนไปจนถึงมหาเศรษฐี ฐานะเงินทองไม่ได้ช่วยให้คนใกล้ตายยอมรับความจริงของชีวิต ตรงข้าม ยิ่งบุคคลที่โลกนี้ยกย่องว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จ กลับยิ่งทุรนทุรายต่อความตาย

ข้าพเจ้าทราบดีว่าสักวันข้าพเจ้าต้องมาถึงจุดนี้ ต้องติดอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ สายระโยงระยาง เครื่องช่วยพยุงชีวิตอีกมากมาย ข้าพเจ้า ถามตนเองว่า เมื่อวันนั้นก้าวย่างมาถึงจริงๆ ข้าพเจ้าจะเอาอะไร เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และรับประกันว่า ข้าพเจ้าเองจะเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายในโลกนี้อย่างมีความสุข และจะผ่านไปโลกหน้าอย่างมั่นใจ

ประการที่สอง เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน เกียรติยศ และฐานะเงินทอง ข้าพเจ้ามีเกือบทุกอย่างที่คนทั่วไปบนโลกนี้อยากจะมี แต่ข้าพเจ้ายังรู้สึกเสมอว่าบางอย่างในชีวิตของข้าพเจ้าหายไป บางอย่างที่จะเติมชีวิตให้เต็ม
ข้าพเจ้าแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่อาจเป็นคำตอบของชีวิตไปเรื่อยๆ เมื่อข้าพเจ้ามองหาสิ่งหนึ่งและได้มา ข้าพเจ้าจะชื่นชมอยู่สักพักและมองหาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทายต่อไป ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นว่าหากทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆแล้วจะหยุดแสวงหาในวันใด จะต้องเหน็ดเหนื่อยดิ้นรนเช่นนี้ไปจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตหรือ

เดิมที เดียวข้าพเจ้าแสวงหาหนทางด้วยตนเอง ข้าพเจ้าพยายามเป็นคนดี รักษาศีลอย่างครบถ้วน จนวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักเพื่อนที่เป็นคริสเตียน เธอก้มศีรษะขอบคุณพระเจ้าในมื้ออาหาร ข้าพเจ้านึกขำในความงมงายของเธอ อย่างไรก็ตามหลังจากได้พูดคุยเรื่องความเชื่อของเธอ ศรัทธาที่มั่นคง ทำให้ข้าพเจ้าต้องถามตนเองว่าทำไมคนที่มีการศึกษาขนาดนี้จึงเชิ่อเรื่องพระ เจ้า
ข้าพเจ้าบอกกับตนเองว่า เราไม่ควรบอกว่าอะไรจริงหรือไม่จริงก่อนที่เราจะศึกษาด้วยตนเอง บางทีสิ่งนี้อาจเป็นคำตอบที่ข้าพเจ้าตามหามานานก็ได้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไปโบสถ์คริสเตียนครั้งแรกเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน การตัดสินใจครั้งนั้น ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของข้าพเจ้าตลอดไป

ข้าพเจ้า ยังจำวันแรกที่ไปโบสถ์ได้ คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าข้าพเจ้าแต่งตัวอย่างดีเนื่องจากท่านทั้งสองเป็นนัก เรียนอังกฤษ และคนอังกฤษในสมัยนั้นจะแต่งตัวอย่างดีที่สุดเพื่อไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ในวันนั้นนอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีผู้มาโบสถ์เป็นครั้งแรกอีกผู้หนึ่ง เป็นคนขายลูกชิ้นปิ้ง การแต่งกายของเราสองคนต่างกันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อ.ขจร ซึ่งมีหน้าที่สอนพระคัมภีร์ในวันนั้นได้ต้อนรับเราทั้งสองอย่าง เท่าเทียมกัน นั่งเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน นี่เป็นความประทับใจแรก อย่างน้อยคนของพระเจ้าก็ไม่ได้มองคนที่ฐานะ ไม่ได้ให้ความสำคัญของมนุษย์แบบที่โลกนี้มอง ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้สอนในวันนั้น คือ
"เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา
ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" [ยอห์น 15:5]
ข้าพเจ้าไม่เชื่อพระคัมภีร์ข้อนี้แม้แต่น้อย ข้าพเจ้ามีชีวิตมา 30 ปี ประสบความสำเร็จมากมายโดยไม่รู้จักพระเจ้า ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า อ.ขจร และพวกที่โบสถ์คงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ด้วยความรู้สึกว่า อ.ขจร เป็นคนดีและอยากช่วยอาจารย์ พ้นจากความงมงาย ข้าพเจ้าตั้งใจจะเปลี่ยนความเชื่อของท่าน และมีอยู่วิธีเดียวที่จะทำได้คือต้องพิสูจน์ให้ อ.ขจร เห็นว่า พระคัมภีร์ไม่จริง
ข้าพเจ้าจึงลงมือศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังเพื่อจับ ผิด และอ่านหนังสือประกอบอีกมากมายทั้งที่เขียนโดยคนที่เชื่อ และไม่เชื่อในพระเจ้า ข้าพเจ้ากลับค้นพบว่า หนังสือมหัศจรรย์ ที่รอดพ้นการทำลาย ครั้งแล้ว ครั้งเล่าเล่มนี้ ได้เปิดเผยเรื่องราวความจริง ที่ข้าพเจ้าเฝ้าค้นหามาตลอด

ในแง่ประวัติศาสตร์  พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเมืองโบราณต่างๆ
ก่อนหน้าปี 1850 ผู้คนรู้จัก อัสซีเรีย จากพระคัมภีร์เท่านั้น ต้องขอบคุณนักโบราณคดี 2 ท่าน คือ Austin Henry Layard และ Hormuzd Rassam ผู้เผยวันเวลาที่หายไปของ ชาวอัสซีเรีย กลับมาให้ชาวโลกได้ประจักษ์

และเมือง Ur อันเก่าแก่ ถูกค้นพบในปี 1912 หลังจากสูญหายไปจากประวัติศาสตร์โลกกว่า 6500 ปี ในช่วงเวลานั้น มีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่ยืนยันการมีอยู่จริงของเมือง Ur

การขุดค้นเมือง เยรีโค เมื่อไม่นานมานี้ (1930) พบว่า กำแพงเมืองที่แข็งแรง และหนามากของเมือง ได้พังทลายลงโดยแบะออกตรงตามพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอก จากนี้ ยังพบธัญพืชจำนวนมาก บรรจุอยู่ใน ภาชนะในสภาพที่เกือบเต็ม อันแสดงว่า เมืองดังกล่าวอยู่ในสภาวะสงครามในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์ ที่กล่าวว่า เยรีโคถูกล้อมอยู่เพียง 7 วัน และชาวยิวที่เอาชนะเมืองนี้ได้ ไม่ได้แตะต้องสมบัติในเมืองจริงๆ (ในสมัยนั้นธัญพืชถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามาก เนื่องจากใช้เป็นอาหาร และเป็นพันธุ์เพื่อการหว่านในปีต่อๆ ไป)

นอกจากนี้ยังมีการค้นพบเมือง โสโดม โกโมราห์ นีนะเวห์ และอื่นๆ ข้าพเจ้าพบว่า พระคัมภีร์ เป็นหนังสือ ประวัติศาสตร์ ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่มหนึ่ง
ทางด้านการแพทย์ แม้ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนแพทย์ ข้าพเจ้ารู้สึกอัศจรรย์ต่อร่างกายมนุษย์ สัตว์ที่ยืน 2 ขาตัวตรงชนิดเดียวในโลก สิ่งนี้ ต้องแลกด้วยการออกแบบกระดูกเชิงกรานใหม่ เพื่อให้รับน้ำหนักได้ ขณะเดียวกันต้องมีลักษณะพิเศษเพื่อให้ผู้หญิงสามารถคลอดบุตรได้ สมองส่วนควบคุมการทรงตัวต้องมีประสิทธิภาพสูง ระบบประสาทอัตโนมัติต้องแม่นยำเพื่อรักษาอัตราไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง ให้คงที่ ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ในท่านั่ง นอน ยืน และวิ่ง

จะเห็นว่า เฉพาะเรื่องการยืน 2 ขาอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแล้ว การใช้มือ การใช้ภาษา การใช้เหตุผล อารมณ์ ก็มีเพียงมนุษย์ที่มีความสามารถอย่างซับซ้อน ข้าพเจ้าคิดเสมอว่าธรรมชาติช่างเก่งกาจจริงๆที่สร้างสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน เช่นนี้ได้ แต่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ 

ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ จนข้าพเจ้าได้อ่าน From Nothing to Nature  ซึ่ง เขียนโดยศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งไม่เชื่อพระเจ้า ท่านพยายามสร้างรหัสพันธุกรรมพื้นฐานง่ายๆจากอนินทรีย์สารโดยให้สภาวะแวด ล้อมที่เหมาะสมที่สุด ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด-ด่าง ประจุไฟฟ้า หลังจากการทดลอง 20 ปี ท่านล้มเหลวในการเปลี่ยนอนินทรีย์สารให้เป็นอินทรีย์สาร

ท่านสรุปว่า เป็นไปได้ที่จะบอกว่า มนุษย์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะง่ายกว่ามากถ้าจะบอกว่า ใครบางคนได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา ท่านได้ยกตัวอย่างประกอบว่า ถ้าเราพบลูกบอลสีแดงในสนามหลังบ้าน แล้วท่านบอกเราว่า มันเกิดขึ้นเองโดยมีมะพร้าวลูกหนึ่งถูกแมลงเจาะจนเป็นรู หลังจากนั้นมะพร้าวลูกนั้นกลิ้งไปใต้ต้นยางพารา บังเอิญกิ่งยางหัก น้ำยางจึงไหลลงมาในรูนี้พอดี ฝุ่นสีแดงก็ตกลงไปผสมกับน้ำยาง แล้วมะพร้าวลูกนี้กลิ้งออกมา และนกคาบมาทิ้งไว้ที่สนามหน้าบ้าน เราคงไม่เชื่อ เราคงบอกว่าใครบางคนเอามันโยนไว้

ทำนองเดียวกัน รหัสพันธุกรรมของมนุษย ซึ่งประกอบด้วยรหัสพื้นฐานเพียง 4 ชนิด (A,T,C,G) ต้องเรียงสลับไปมาอย่างถูกต้อง โดยผิดไม่ได้แม้แต่ตัวเดียวกว่า 15,000 ล้านรหัส ยากที่จะบอกว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ใครบางคนที่มีความสามารถเป็นเลิศเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา

คำพยากรณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์
เป็น อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องจำนนต่อพระเจ้า พระคัมภีร์เดิมได้พยากรณ์ล่วงหน้าถึง การมาบังเกิดขององค์พระเยซูคริสต์อย่างถูกต้อง

ตอนแรกข้าพเจ้าไม่ เชื่ออีกเช่นเคย โดยคิดว่าผู้คนได้เขียนพระคัมภีร์เดิมหลังจากพระเยซูมาบังเกิดแล้ว แล้วทำเป็นว่า พยากรณ์ถึงการมาขององค์พระเยซูคริสต์เพื่อให้ดูศักดิ์สิทธิ์ แต่การพบ พระคัมภีร์เดิมในถ้ำคุมราน โดยเด็กเลี้ยงแกะ ในปี 1947 และการทดลองคาร์บอน 14 พบว่า พระคัมภีร์เดิมดังกล่าวมี อายุเก่าแก่ก่อนยุคสมัยพระเยซูจริง ทำให้ข้าพเจ้าต้องเชื่อว่า พระคัมภีร์เดิมได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าจริง
แต่น่าตื่นเต้นที่สุดคงเป็น การกลับมาตั้งประเทศอิสราเอลได้ใหม่ สมดังคำทำนายในปี ค.ศ. 70 หลังจากที่มั่นแห่งสุดท้าย ของชาวยิว ที่ป้อมมาซาดาพ่ายแพ้ต่อโรมัน ชาวยิวก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก และถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้ง ทั้งในสมัยกลางที่กาฬโรคคร่าชีวิตคนยุโรปถึง 2 ใน 3 (คนยุโรปโทษว่าชาวยิวเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย จึงสังหารชาวยิวไปมากมาย) ในสมัยของพระราชินีฮัวน่าและในสงครามโลกครั้งที่สองที่ยิวกว่า 6 ล้านคน ถูกสังหารในค่ายกักกันของนาซี ในที่สุดชนชาติที่ไร้แผ่นดินอยู่และถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้งหลายครา ได้กลับมาตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 ณ แผ่นดินคานาอัน ที่พระเจ้ายกให้เป็นลูกหลานชาวยิวสมดังคำพยากรณ์ที่กล่าวไว้เมื่อ 2000 ปีก่อน
คงเหลือคำพยากรณ์อีกข้อเดียวที่ยังไม่เกิดขึ้น นั่นคือ  การเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์
นอกจากนี้ พระคัมภีร์ยังมีความอัศจรรย์ในแง่ต่างๆ อีกมากมาย เช่น ซากวัตถุขนาดใหญ่บนภูเขาอารารัต ซึ่งเชื่อว่าเป็น เรือโนอาห์ ที่ปัจจุบันถูกถ่ายรูปได้จากดาวเทียม, Hebrew code ที่ซ่อนเร้นไว้ในพระธรรมโทราห์, ความอัศจรรย์ของเลข 7 เป็นต้น
หลังจากศึกษาอยู่ 8 เดือน ข้าพเจ้าก็ยอมจำนนต่อพระคัมภีร์ และรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด ในวันคริสตมาส เมื่อ 3 ปีก่อน

Christian Siam - เวบสำหรบคนอยากรจกพระเจา พระเยซ | อยากเปนครสเตยน | อยากไปโบสถ (ครสตจกร)| พระครสตธรรมคมภร พระคมภร Bible| เกดมาทำไม| ตายแลวไปไหน| ชวตคออะไร| คนหาความหมายของชวตไดทน เมื่อเป็นคริสเตียนใหม่ ข้าพเจ้ายอมรับว่าอาย ไม่กล้าบอกใคร เมื่อบอกออกไปก็มักถูกล้อเลียน ... จนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เป็นพยาน เรื่องพระองค์ให้ผู้ป่วยใกล้ตายคนหนึ่ง เธอเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 18 ปี ข้าพเจ้าได้ยินเรื่องราวของเธอจากการประชุมแพทย์ และทราบว่าเธอได้พยายามฆ่าตัวตายด้วยการดื่ม Paraquat อันเป็น ยาฆ่าวัชพืชที่มีพิษรุนแรง ต่อ มนุษย์ และเธอดื่มเข้าไป เป็นปริมาณมากเกินกว่าที่จะรักษาชีวิตของเธอไว้ได้ เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ตับและไตของเธอได้รับความเสียหายรุนแรงมากแล้ว
ข้าพเจ้าเชื่อเสมอว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปที่ใหญ่หลวงทั้งจากความเชื่อเดิมและความเชื่อ
ใหม่ ข้าพเจ้าทราบดีว่าเธอจะต้องตาย และมีเพียงผู้เดียวที่จะยกโทษให้แก่การกระทำในครั้งนี้ได้ คือ องค์พระเยซูคริสต์  ข้าพเจ้าตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับเธอ และเป็นพยานเรื่องพระองค์

เรื่อง ราวที่นำเธอมาสู่การทำร้ายตนเองในครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่าสลดยิ่ง ข้าพเจ้าเองหากต้องเผชิญในสถานการณ์เดียวกับเธอ ก็อาจทำเช่นเดียวกัน เธอตระหนักดีว่ เธอไม่อาจจะรอดชีวิตได้ แต่เราก็ได้อธิษฐานร่วมกันในคืนนั้น ขอพระเจ้าประทานชีวิตและโอกาสแก่เธออีกครั้ง ข้าพเจ้าอธิษฐานทั้งที่ไม่มีความเชื่อ เพราะข้าพเจ้าทราบความรุนแรงของ Paraquat ดีว่า Paraquat เป็นสารเคมีทีพิษรุนแรง หากได้รับในปริมาณมากกว่า 5 ซีซี ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดจะเสียชีวิต เธอผู้นี้ได้ดื่ม Paraquat ไปถึง 50 ซีซี ในเวลา 3 วัน กว่าจะถูกนำตัวมารักษา เมื่อมาถึงโรงพยาบาลนั้นเธอมีตับวายและไตวายแล้ว ที่ประชุมแพทย์ลงความเห็นว่า ไม่ต้องให้การรักษาใดๆ เพราะเราจะเสียเธอไปอย่างแน่นอน

น่าอัศจรรย์ที่วันรุ่งขึ้น ไตที่เสียหายอย่างรุนแรง ได้รับการซ่อมแซม ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อ จึงเจาะเลือดพิสูจน์อีกครั้ง ซึ่งผลออกมายืนยัน และตับที่วายก็กลับเป็นปกติใน 2 วัน อย่างไรก็ตาม Paraquat ยังคงทำลายปอดของเธออย่างต่อเนื่อง ออกซิเจนในเลือดต่ำลงๆ จนข้าพเจ้าหมดหวังในการหายของเธอ
ระหว่างนี้เองมีเพื่อนแพทย์อีก 3 ท่านได้มาดูผู้ป่วยรายนี้ และสนใจเรื่องของพระเจ้า ข้าพเจ้ามาทราบภายหลังว่า พระเจ้าทรงชะลอเวลานี้ไว้ เพื่อดึงจิตวิญญาณผู้อื่น มาถึงความรอดของพระองค์

หลัง จากที่อยู่โรงพยาบาลกว่า 40 วัน และออกซิเจนในเลือดต่ำลงจนอาจไม่สามารถที่จะรอดชีวิต มีผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุรายหนึ่ง ได้อุทิศปอดให้แก่เธอ เธอได้รับการเปลี่ยนปอด และรอดชีวิต
พระเจ้า เป็นพระเจ้า พระองค์ได้รักษาชีวิตของเธอผู้นั้นไว้ โดยพระคุณของพระองค์ด้วยการหายที่อัศจรรย์ เธอผู้นั้นรอด ทั้งที่ในฐานะแพทย์ ข้าพเจ้ารู้อย่างแน่ชัดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยความสามารถทางการแพทย์ในปัจจุบัน

นั่น เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าตระหนักอย่างแท้จริงถึงฤทธานุภาพของพระองค์ ข้าพเจ้ามั่นใจมากขึ้นในการดำเนินชีวิตกับพระองค์ เป็นพยานเรื่องพระองค์ อธิษฐานด้วยความเชื่อ และครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระองค์กระทำสิ่งที่เกินความคิด ความเข้าใจ แก่ชีวิตผู้ป่วยผ่านสายตาของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางพระคุณที่ไม่มีสิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าขอบางสิ่งจากพระองค์และพระองค์ไม่ตอบคำอธิษฐาน ด้วยความผิดหวัง เสียใจ ข้าพเจ้าตั้งใจจะเลิกติดตามพระองค์ แต่เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้รับจดหมายที่เขียนข้อพระคัมภีร์ ที่ว่า
"อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง"
ผู้ ที่เขียนจดหมายได้บอกกับข้าพเจ้าว่า รู้สึกอยากจะฝากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ ทั้งที่ทราบว่าปกติข้าพเจ้าเป็นคนร่าเริงไม่มีทุกข์ร้อนเรื่องอะไร ต่อมามีพี่น้องจากโบสถ์อื่นมาเยี่ยมเยียนที่ทำงานและหนุนใจมาก (ขณะนั้น คนรอบข้าง ข้าพเจ้า ไม่มีใครเป็นคริสเตียนเลย) ข้าพเจ้าหยิบพระคัมภีร์มาอ่านและพบข้อความที่ตรงกับความรู้สึกในขณะนั้นพอดี และเมื่อเปิดวิทยุ ฟังก็เป็นเพลง His Love is Mine พอดีอีกเช่นกัน

ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง มีเหตุการณ์ 4 อย่างเกิดขึ้น เพื่อเตือนให้ข้าพเจ้าทราบว่า พระองค์ยังคงเป็น พระเจ้าที่สัตย์ซื่อ พระองค์มาตามข้าพเจ้ากลับไป ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักยิ่งใหญ่ที่หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ ข้าพเจ้าถึงกับร้องไห้ด้วยความตื้นตัน เป็นความสุขยิ่งใหญ่ที่ทราบว่าตนเองเป็นที่รัก ทั้งที่ทำตัวไม่น่ารัก ท่ามกลางคน 6,000 ล้านคนในโลกนี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เอาแต่ใจ พระองค์ยังตามหาเพื่อจะบอกว่าแม้มนุษย์ต่ำต้อยคนเดียวก็มีความหมายในสายพระ เนตรของพระองค์
ข้าพเจ้าได้ตระหนักว่า ทั้งที่ข้าพเจ้าเองไม่ได้เป็นคนที่ขาดความรัก เมื่อพระเจ้าเทความรักของพระองค์ลงมา ข้าพเจ้ายังมีความสุขถึงเพียงนี้ หากคนที่ไม่ค่อยได้สัมผัสความรัก จะมีความสุขสักเพียงใด
เหตุการณ์ นี้ยังได้สอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้าด้วย ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า การที่พระเจ้าทรงตอบ คำอธิษฐานมากมายของข้าพเจ้า เป็นเพราะข้าพเจ้าเองแสวงหาพระองค์ ความรู้สึกดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่ถ่อมใจ แต่เหตุการณ์นี้กระทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่า แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาพระองค์ พระองค์ต่างหาก ที่แสวงหาข้าพเจ้า สิ่งที่พระเยซูทำที่กางเขนเมื่อ 2000 ปีก่อนเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้อย่างดี ไม่ใช่เฉพาะข้าพเจ้าที่พระองค์ตามหาหากแต่เป็น มนุษย์ทุกคนที่ถ่อมใจลง ฟังเสียงเรียกด้วยความรัก ความห่วงใยของพระองค์ เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อในการกระทำที่เสียสละนี้ จะรอด ไม่ว่าจะเป็นคนโง่หรือฉลาด ยากจนหรือร่ำรวย เป็นกษัตริย์หรือสามัญชน พิการหรือปกติ เจ็บป่วยหรือแข็งแรง ทุกคนสามารถจะมีความเชื่อ และรับความรอดได้เท่าๆ กัน นี่คือความยุติธรรมจากของขวัญแห่งความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

หลังเหตุการณ์นี้ผ่านไป 3 เดือน พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า ทำไมพระองค์จึงไม่ตอบคำอธิษฐาน ในวันนั้น หากข้าพเจ้าได้ตามที่ขอในวันนั้น วันนี้ข้าพเจ้าคงเดือดร้อนพอสมควร ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเรื่องราวบางอย่างที่เราคิดว่าดี และทูลขอต่อพระองค์ แต่พระเจ้าจะทรงรู้ดีกว่าและจัดเตรียมให้เฉพาะสิ่งที่ดีต่อเราเท่านั้น ข้าพเจ้าตัดสินใจ ที่จะติดตามพระองค์ไป ชั่วชีวิต ไม่ ว่าพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของข้าพเจ้าหรือไม่ เพราะข้าพเจ้าได้ตระหนักแล้วว่า ความรัก ความรอด ที่พระองค์มอบให้ ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่สมควรได้รับนั้นเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว

ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคนไม่เชื่อ แต่ด้วยท่าทีและความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ข้าพเจ้าไม่มีความ รู้สึกอับอายอีกต่อไป ตรงข้าม ข้าพเจ้ากลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาเหล่านั้นไม่ตระหนักว่าทรัพย์สิน เงินทอง การยกย่องสรรเสริญจากมนุษย์ เกียรติยศ และของทุกอย่างในโลกนี้ไม่อะไรเลยที่ทำให้อิ่มใจได้ มี เพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ที่จะเติมหัวใจของเราให้เต็ม ด้วยความรักของพระองค คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าจึงต้องวิ่งหาสิ่งต่างๆจนตลอดชีวิต และตายไปทั้งที่ยังหิวกระหาย เราในฐานะที่เป็นคริสเตียน เรามีสิ่งที่ดีที่สุด ที่ไม่มีใครจะแย่งชิงไปได้ นั้นคือ องค์พระเยซูคริสต์ ความรัก และความรอดของพระองค์
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
นท.นพ. ภากร จันทนมัฎฐะ รน.
จากหนังสือ คำตอบชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

บันทึก Festival of Peace by Will Greham: (A grandson of Billy Greham)

5-7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 คือการประกาศฟื้นฟูจิตใจ จัดเพื่อเฉลิมฉลอง การเข้ามาของคริสตศาสนา
นิกายโปรเทสแตนท์ ของคณะใหญ่ คณะหนึ่งของประเทศไทย

การดำเนินการ
1. จัดการอบรมพี่เลี้ยงสำหรับ กรอกใบติดสินใจรับเชื่อ หรือข้อมูลในการติดต่อกลับ 2 ครั้ง
2. จัดหาเวที เครื่องไฟ ทราบว่าคืนละ 40,000 บาท (งานนี้ทุนหนา)
3. จัดทำเอกสารแจกในงาน
4. ระดับบิ๊กของคณะมาเกือบครบ ในพิธีเปิด

การจัดกิจกรรม

1. มีการนมัสการแบบฟื้นฟู เพลงสั้น + เพลงยาว+ เพลงร่วมสมัย ต่อเนื่อง รวดเดียวจบ
2. ขั้นด้วยคำพยานชีวิตของดาราที่เป็นคริสเตียน พอจะมีคนรู้จักอยู่บ้าง
3. คำเทศนาของ ดร.วิล เกรแฮม
4. เมื่อเทศนาจบ ประมาณ 30-40 นาที จะมีการเรียกให้ตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้า
5. อธิษฐานนำรับเชื่อจาก ผู้เทศนาบนเวที พี่เลี้ยงออกมาจดชื่อคนรับเชื่อ
6. แยกย้ายกันกลับบ้าน 


ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
ก. เป็นการดีที่คริสเตียนจะมารวมกันเฉลิมฉลองใหญ่ปีละอย่างน้อย 1 ครั้ง เหมือนงานนี้
ข. ถ้าคริสเตียนทำได้อย่างชาวยิวจากทุกที่ทุกตำบล ทั่วแว้นแคว้น ที่มารวมกันที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสคา ชาวคริสต์ในแต่จังหวัด คงจะมีความสามัคคีกันมากขึ้น กำแพงแห่งคณะ กลุ่ม หรือ พวกคงจะพังลงบ้าง หรือกลายเป็นเพียง รั่วหรือคอก
ค. การนมัสการทำไมจึงเป็นแบบ ข้อ 1 ด้านบน อาจเป็นเพราะ...
    - ทำให้คนเข้าถึงพระเจ้าได้ง่ายขึ้น
    - เร้าอารมณ์ เพราะเพลงมันต่อเนื่องและใช้เวลาพอสมควร
    - มีการเ้ต้นโลดขณะร้องเพลง เหมือนกับการนมัสการของดาวิด
    - คริสต์จักรในเครือนี้หลายๆ แห่ง ผู้นำคริสตจักร และ/หรือ ศบ. หัวเก่า ติดวิญญาณศาสนาคิดว่าทำไม่ได้ และไม่ดี และไม่ควรทำ โบสถ์เราก็ไม่มีเงินซื้อเครื่องดนตรี เด็กเราก็ไม่มาโบสถ์ คนสอนก็ไม่มี เด็กส่วนใหญ่ไปเรียนพิเศษวันอาทิตย์ เราไม่มีเด็กแล้ว (อนาคตเราก็จะไม่มีคนแล้ว)
   - ไม่เน้นพิธีรีตรองทางศาสนพิธี ไม่เน้นยกย่อง พิธีกรคนอ่านระเบียบพิธี หรือเจ้าหน้าที่แผนกใดๆ
   - ที่สำคัญที่สุด การนมัสการแบบฟื้นฟู น่าจะดึงดูดความสนใจของคนได้มากกว่า
   - ในงานนี้ผมมองไม่เห็นหัวหน้าใหญ่ของหลายๆ คณะ และไม่เห็น คณะกรรมการของหัวหน้าใหญ่จากคณะอื่นๆ มาร่วม หรือถ้ามาก็ไม่เปิดเผยตัวเอง เพราะอะไรหนออาจเป็นเพราะในใจลึกๆ ของคนพวกนี้ มันยังเก็บความแค้น ความเจ็บใจ ความเจ็บป่วยและความเจ็บปวดได้ในใจของเขาอยู่ คริสเตียนจึงมีคณะ กลุ่ม พวก และการแบ่งแยกเผ่าพันธ์ุ์
    - เมื่อการนมัสการพระเจ้าแบบฟื้นฟูดึงดูดคนได้ดี ทำไมคริสตจักรหลายแห่งไม่คิดประยุกต์ใช้ละ ทำไมจึงร้องแต่เพลงสมัยเมื่อหลายร้อยปีก่อน อยู่อย่างเดิม ไม่พัฒนา รู้ว่ามันน่าเบื่อสำหรับคนใหม่ๆ ทำไมไม่ปรับเปลียนล่ะ  ทำไมต้องยึดติดกับว่า เพลงไทยนมัสการคือเพลงของบรรพบุรุธของกู เพลงชีวิตคริสเตียนคือเพลงของคณะพวกกู  เพลงคัลเลอร์ซองคือเพลงของพวกปัญญาอ่อน  เพลงทำนองก๊อปปี้จากเพลงวอชีิบของ วงดนตรีต่างประเทศทำไมได้รับความนิยมและคริสต์จักรน้องใหม่หลายๆ แห่งเปิดรับได้  แต่คริสตจักรที่มีแต่ไม้ใกล้ฝัง ผู้ปกครองและศิษยาภิบาลหัวไดโนเสาร์รับไม่ได้ เพราะเกินความสามารถในการรับรู้ของสมอง หรือว่า ไม่รับเพราะต้องการให้คริสตจักรเป็นแบบศาสนจักรโรมันคาทอลิกให้ยิ่งใหญ่เหมือนในสมัยยุคเริ่มแรกที่นับวันจะเสื่อมและพังทลายกลายเป็นเพียง ศาสนาที่ตายแล้ว
    - การเทศนานำคนกลับใจของ ดร.วิล ดีมากสามารถดึงดูดคริสเตียนที่อ่อนล้าจากการติดตามศาสนาให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ในการนับถือพระเยซูคริสต์อีกครั้ง  แต่เมื่อเขากลับไปเจอสภาพ เสื่อมโทรมของตัวอาคารโบสถ์และการนมัสการอย่างจืดชืด และเน้นพิธีรีตรองอย่างเดิมเขาจะกลับทำตัวแบบเดิมไหม

    - ผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศคาดหวังว่าจะมีการอธิษฐานเผื่อคนป่วยที่หอบสังขารมาในงานนี้ เพราะคิดว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จะมาพร้อมด้วยฤทธิเดชและการหายโรค แต่น่าเสียดาย หลานของนายบิลลี่ นักประกาศ (Evangelist) ที่ทำการประกาศด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ด้วยการหายโรค หลังจากผ่านไปหลายสิบปี พันธกิจที่มีมรดกทางด้านฤทธิเดช ความคิดและทรัพย์สมบัติกลายเป็นเพียง เถาต้นองุ่นที่กลายพันธุ์เป็นเพียงต้นผักปั๋ง  เป็นเพียงนักพูดชนะใจคนมากกว่าการสำแดงถึงฤทธิเดชของพระเจ้าในการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ที่เป็นของคู่กัน  น่าเสียดายจริงๆ ไม่รู้ ดร.วิลกลัวอะไร กลัวคนไม่หาย กลัววิญญาณศาสนา กลัวตำรวจจับ หรือว่าเขาไม่เชื่อว่าการอัศจรรย์ในพระนามของพระเยซูไม่มีในคำเทศนาของเขา น่าเสียดายจริงๆ
   - ใครแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ช่วยแปลแล้วส่งอีเมล์ให้ ดร. วิลอ่านด้วยจะขอบคุณมาก

ขอบ่นแค่นี้ สวัสดี

A letter to Will Graham

....................................
Februaty 7, 2010
Dear Dr. Will Graham

Firstly, I need to say thank you for your visitation to my province, Chiang Rai, Thailand (A province where you go to preach the festival of peace and riding the elephants).

Your preaching and message of peace were good and as you can see many Christians came back to God.

As a baby in Christian ministry, I should like to comment on your preaching.
May I ask you this..
Why didn't you pray for the healing of sick people.
Why did you teach only the message without the miraculous power in the Name of Jesus. Are you afriad you will loose your face when sick people would not get healed?

Did somebody scare you that you can not do healing prayer?

Many people brought sick people to your meeting but you did not pray for the sick. They were very upset with the Gospel of Jesus which always come with power of healing that you preached.

You may or may not read this email but I am sure I can remind you or your staff something because I have experienced many times that the Gospel of Jesus always comes with power.

 Do you use Billy Graham only the Name to attract people but do not use the power that Billy had used?

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

สิ่งนี้เราเรียกมันว่า รากขมขื่น

การเยียวยารักษาด้านจิตใจจากพระเจ้า

บทความนี้เป็นคำพยานของคนที่เคยถูกละเมิดทางเพศ จากญาติสนิทของเธอ ขณะเป็นเด็ก ทำให้ชีวิตของเธอ เกิดความขมขื่น และความแค้นฝังใจนานถึง 30 ปี

ข้าพเจ้าได้เก็บความลับอันเจ็บปวดในชีวิตไว้เป็นเวลาเกือบ 30 กว่าปีที่ข้าพเจ้าได้ถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ อย่างบอบช้ำ ตั้งแต่วัยเด็กมันเป็นรากอันขมขื่นที่สุดในชีวิตที่มีลมหายใจอยู่ ข้าพเจ้าอายที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พ่อแม่หรือใครๆได้ฟัง

จนกระทั่งกลางปี2552ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้รับเอกสารงานแปลเป็นชุดๆจากเพื่อนสนิทที่มักนำแจกให้คนโน้นคนนี้เป็นประจำเมื่อเห็นหน้าเธอ ข้าพเจ้าก็รับไว้อย่างขัดไม่ได้และกลัวเพื่อนเสียกำลังใจ แต่ไม่ได้สนใจอ่านเอาไปวางไว้เฉยๆบนโต๊ะหนังสือ เพราะตัวเองก็มีงานเยอะมากทั้งงานประจำและหน้าที่ต้องรับผิดชอบลูกๆที่อยู่ในวัยแรกรุ่นทั้ง 2คน

ภาพแห่งความฝันร้ายที่รุมทำร้ายชีวิตของข้าพเจ้าไม่เคยเลือนจากความทรงจำแม้แต่วันเดียว เมื่อข้าพเจ้าอยู่ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ถูกอาซึ่งอยู่ในช่วงวัยรุ่น กระทำชำเรา โดยที่ไม่มีใครรู้ ครั้งแล้วครั้งเล่าทุกครั้งที่เขามีโอกาสแต่เรื่องนี้ไม่มีผู้ใหญ่รู้ ชีวิตวัยเด็กของข้าพเจ้าหวาดผวา ไม่กล้าอยู่คนเดียวกลัวคิดหลายๆครั้งว่าจะเล่าให้ญาติผู้ใหญ่ฟัง แต่ก็กลัวไม่มีใครเชื่อ มันทำให้หัวใจของข้าพเจ้าถูกความชั่วร้ายครอบงำ อย่างชนิดที่เปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้ทั้งที่ชีวิตภายนอกของข้าพเจ้า เป็นเด็กดี เรียนหนังสือเก่ง จบในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มีหน้าที่การงานดี ได้แต่งงานกับสามีที่ดีรักดูแลเอาใจใส่ครอบครัวเป็นอย่างดีจนใครๆอิจฉา ในความเพียบพร้อมที่ข้าพเจ้าได้รับ แต่ความเลวร้ายของอาข้าพเจ้าไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาตามทำร้ายจิตใจข้าพเจ้าตลอด พยายามที่จะมาขอมีความสัมพันธ์ทางเพศกับข้าพเจ้าอีก เมื่อสามีข้าพเจ้ากลับจากที่ทำงานช้าหรือค่ำ ทั้งๆที่อาแต่งงานมีลูกโตๆเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ความเครียดและความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้าแทบนอนไม่หลับในทุกคืน มันช่างรบกวนจิตใจเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าต้องการระบายเล่าให้ทุกคนฟังแต่ก็อายไม่กล้า กลัวคนซ้ำเติม แผลในใจ ลึกถึงวิญญาณ ไม่สามารถรักษาได้ เคยไปปรึกษาจิตแพทย์ชั่วโมงเป็นพันกว่าบาทที่กรุงเทพแต่ก็ไม่สามารถลบภาพนั้นได้ ข้าพเจ้าอยากฆ่ามัน อยากทำลายมัน อยากให้ลูกสาวลูกชายของมันเป็นอย่างที่มันทำร้ายข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าต้องอาศัยยาแก้เครียด

เมื่อข้าพเจ้ามองหน้าสามี และลูกๆ ครอบครัวที่แสนอบอุ่นของเราทำให้ข้าพเจ้ายิ่งละอายใจอย่างมาก บางทีคิดฆ่าตัวตายบ่อยๆ หนามนี้ทิ่มแทงชีวิตมาก เพราะในสายตาทุกคนมองเห็นภายนอกว่าอาเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีน้ำใจ สุภาพบุรุษ เอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ แต่ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าสัมผัส อยู่ในคราบของผีร้ายชัด ๆอยากจะกระชากหน้ากากจอมปลอมของมันออก ข้าพเจ้าอยากตะโกนให้โลกรู้ให้คนชั่วคนนี้มันตายไปอย่างทรมานแสนสาหัส ความเกลียดชังและความแค้นฝังรากในชีวิตของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าสามารถหนุนใจผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี สมกับอาชีพของข้าพเจ้าที่ต้องเสียสละเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคม เป็นแม่พิมพ์ของชาติ แต่น่าเสียใจมากที่ข้าพเจ้ามีรอยตราบาปที่ด่างพร้อยจากคนมักมากในกาม ทำร้ายแต่วัยเยาว์

ต้นปี2553 ข้าพเจ้าได้เจอเพื่อนสนิท เธอก็นำเอกสารมาแจกคราวนี้ทำเป็นเล่มบางๆ เรียงเป็นชุด มาให้ข้าพเจ้าอีกครั้ง ข้าพเจ้าถามเธอว่าไม่ทุกข์ใจอะไรบ้างหรอ (ถามอย่างหมั่นไส้) เห็นพูดคุย สนุกสนาน ( ทั้งๆลูกชายของเธอเป็นมะเร็ง ) เธอก็ตอบอย่างยิ้มแย้ม ว่าสบายดีตามอัตภาพ ทุกคนสบายดี หนี้สินยังคงเดิมแต่ก็จะหมดในเร็วๆนี้ (เธอตอบตามสไตล์ของเธอข้าพเจ้าเคยเห็นเธอเป็นทุกข์ ร้องไห้ หาเงินรักษาลูกที่ป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว แต่เธอก็หัวเราะฟันฝ่าเดนตายในวิกฤติของเธอมาได้ทุกครั้ง ทุกๆครั้งที่ข้าพเจ้าพบเธอเธอมักมีเรื่องเล่า คำหนุนใจ พยาน จากชีวิตครอบครัวของเธอให้ฟังทุกครั้ง และเธอมองวิกฤติสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ เป็นโอกาสเสมอ เธอบอกว่าชีวิตถ้าคิดลบมันก็ยิ่งติดลบ แต่ถ้าคิดบวกมันยิ่งเพิ่มขึ้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตทำให้เราได้รับการท้าทายให้คิดบวกคิดดีในทุกๆเรื่อง แม้จะเจ็บปวดก็ตามที เธอพูดสมกับที่ได้รับรางวัลผู้หญิงคิดบวกจริงๆ เธอบอกว่า พระเจ้าช่วยเธอทุกๆเรื่อง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ไม่ว่าเป็นหรือตาย ทุกลมหายใจเข้าออกของเธอมีพระเจ้า ฟังแล้วOVERจริง ๆ เธอบอกว่า เราไม่สามารถเดินทางเข้าไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตในอดีตได้ แต่การมีพระเจ้าทำให้เธอสามารถเลือกใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างถูกต้อง และเป็นจริง พระเจ้าจะช่วยดูแลรักษาเยียวยา ชีวิตของเรา ตั้งแต่ภายในวิญญาณ จิตใจ อารมณ์ ร่างกาย บาดแผลที่มนุษย์รักษาไม่หายแต่พระเจ้าสามารถรักษาได้อย่างอัศจรรย์ โดยการอธิษฐานของเราทูลขออ้อนวอนต่อพระองค์ ) คำพูดของเธอทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงตนเอง เรื่องราวของตนเองที่ซ่อนเร้นอยู่ในกระแสเลือด

ในที่สุดข้าพเจ้าได้ตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้าให้เธอฟัง เรากอดกันร้องให้ เธอนำข้าพเจ้าอธิษฐาน สารภาพบาป ตัดรากขมขื่น ขับไล่ผูกมัดวิญญาณชั่วในภาพอดีตที่หลอกหลอนมาเป็นเวลา 30 กว่าปี ตัดสายสัมพันธ์ความชั่วร้ายออกจากคนชั่ว และขอพระเจ้ายกโทษให้ตนเอง และยกโทษให้อาที่ใจมักมากในกาม ขอให้พระเจ้าปิดทางชั่ว ทั้งหมด เธอ แนะนำเอกสารที่เพื่อนของเธอแปลและให้ข้าพเจ้าอ่านใคร่ควรกับพระเจ้า และแนะนำข้าพเจ้าเข้าไปอ่านในwww.vimonsin.com ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าได้รับพระพรเป็นอย่างมาก

ปัจจุบัน ข้าพเจ้าไม่ได้พึ่งยานอนหลับ ยาคลายเครียดอีกแล้ว เพราะเมื่อมีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาสะกิดจิตใจ ข้าพเจ้าจะรีบอธิษฐานทันทีขอการทรงนำและการปกป้องจากพระเจ้าทันที และสิ่งเหล่านี้ก็จางหายไป พระเยซูคือแพทย์ที่วิเศษรู้วิธีรักษาเราทุกอย่างเพียงแต่เรามองข้ามพระองค์ไป ระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน ชีวิตของข้าพเจ้ามีความสุขสงบ ไม่หวาดระแวงไม่กลัว ไม่ต้องปั้นหน้าหลอกลวงตนเอง ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้ามองโลกอย่างสวยงาม และข้าพเจ้าไม่อายไม่กลัวอีกต่อไป และ อนุญาตให้เพื่อนสนิทได้ถ่ายทอดเรื่องราวลงในที่นี้เพื่ออยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่าพระเจ้าทำได้จริงๆ พระเจ้าไม่ใช่แพทย์ที่โกหกหรือเลี้ยงไข้แต่พระองค์รักษาให้หายขาดแบบชนิดขุดรากถอนโคน ข้าพเจ้าไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับใครเพราะมันเจ็บปวดเหมือนคนที่ตายทั้งเป็นเหมือนที่ข้าพเจ้าได้เผชิญมา (โปรดรัก และดูแลลูกหลานของท่านด้วยความระมัดระวัง)

ข้าพเจ้าฝากขอบคุณเพื่อนสนิทและอาจารย์แอนนา เวลล์ ที่ได้สละเวลาแปล รวมทำเวป และทุ่มเทเพื่องานของพระเจ้า ที่หนุนใจข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก กระดาษแต่ละแผ่นที่เพื่อนสนิทเคยให้ไว้ ข้าพเจ้านำมาอ่าน ความจริงพระเจ้าต้องการปลดปล่อยข้าพเจ้าตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแต่ข้าพเจ้าไม่ยอมหยิบขึ้นมาอ่าน แต่พระเจ้ายังรักข้าพเจ้าโดยส่งเพื่อนสนิทมาหาอีกหลายๆ รอบ น่าละอายซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นคริสเตียนเหมือนกันตั้งแต่เกิด แต่ไม่รู้เคล็ดลับที่พระเจ้าปลดปล่อย เลยคิดถึงพระคัมภีร์ที่เพื่อนมักบอกเสมอว่าอย่าหลงในถิ่นทุรกันดารนาน และ แม้เราเดินในหุบเขาเงามัจจุราชแต่พระเจ้าอุ้มเราไว้

...ชีวิตใหม่ที่พระเจ้าให้กับข้าพเจ้าช่างมีความสุขมากเกินกว่าจะบรรยายเป็นภาษาไดๆ ได้ จึงอยากท้าทายให้ทุกคนเดินมาหาพระเจ้าและบอกเรื่องราวของเราไว้กับพระเจ้า พระองค์เปลี่ยนให้เราได้

โดย ผู้ที่ได้รับพระคุณความรักจากพระเจ้าพระบิดา

**หมายเหตุ บทความนี้ได้รับความกรุณาจาก คุณ แอนนา เวล์ ผู้รับใช้พระเจ้าที่ไม่ได้ทำงานรับเงินเดือนเต็มเวลา แต่เธอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความรักและความสามารถ (ของประทาน) จากพระเจ้าในการรับใช้ โดยไม่ได้มีใครจ้าง หรือมีใครดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรับใช้คริสตจักร-- ขอชื่นชมและขอบคุณท่านมา ณ ที่นี่*---
............................................................................
-ความคิดเห็น---

เรื่องที่นำเสนอในบทความนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในสังคมที่ คนถูกชักนำให้หลงผิด
ดำเนินชีวิตตามสัญชาตญาณ ของความเป็นมนุษย์ธรรมดา 

ในความเป็นจริงแล้วพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ให้มีจิตวิญญาณ ความคิด และ จิตใจที่สอาด ผ่องแผ้ว แต่มนุษย์คู่แรกได้หลงผิด หลงเชื่อคำหลอกลวงของวิญญาณร้าย ที่เราเรียกมันว่า ซาตาน  ทำให้มนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ขาดจากพระศิริ และไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยสามารถปฏิบัติตามกฎศีลธรรมที่พระเจ้าในใส่ไว้ในจิตใจได้เนื่องจาก ความผิดบาป  ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่พระเยซูคริสต์ได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูสามารถดำเนินชีวิตอย่างขาวสอาด และมีชัยชนะเหนือความต้องการของเนื้อหนัง
พระเยซูมีอะไรที่พิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป คือ

พระเยซูประกาศตนว่ามาจากพระเจ้า และเป็นพระเจ้า: พระเยซูมิได้เกิดจากการที่คนยกเอาคุณงามความดีหรือคำสอนของคน และถูกยกเป็นพระเจ้า แต่พระเยซูบอกว่า เราคือพระผู้ช่วยให้รอดของชาวโลก
มีชัยเหนือความอยากอาหาร:  พระเยซูอดน้ำและอาหารเป็นเวลา 40 วันในทะเลทราย

การกำเนิดอย่างอัศจรรย์: พระเยซูไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ของมนุษย์ชายและหญิงตามธรรมชาติ แต่เกิดจากหญิงพรหมจารี
ชัยชนะเหนือผีและวิญญาณ: ตลอดเวลา 3 ปีที่พระเยซูออกไปประกาศเรื่องการมาของแผ่นดินของพระเจ้า หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า การปกครองของพระเจ้าด้านความคิด ความเชื่อและจิตวิญญาณ พระเยซูจะขับผีออกจากคนต่างๆ มากมาย

ชัยชนะเหนือความป่วยไข้: พระเยซูทำการอัศจรรย์ได้ด้วยฤทธิเดชของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิที่ประทับอยู่ในตัวของพระเยซู พระองค์ไปที่ใดก็รักษาโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยากจากโรคภัยต่างๆ  และพระเยซูยังสามารถเรียกคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้

ชัยชนะเหนือความตาย:  นอกจากพระเยซูจะเรียกคนตายให้ฟื้นได้แล้ว  ศัตรูทางความคิด ความเชื่อของพระองค์ที่เรียกว่า พวกอาจารย์ทางศาสนา (ธรรมาจารย์) ได้ใส่ความและปั้นพยานเท็จปรักปรำ และส่งให้ผู้ปกครองประเทศอิสราเอลในขณะนั้น คือ ตัวแทนของจักรวรรดิ์ โรมัน ให้ตัดสินประหารชีวิตพระองค์ด้วยการเอาไปแขวนไว้บนไม้กางเขน โดยการตอกตะปูที่ข้อมือทั้งสองข้าง  ที่หลังเท้าทั้งสองข้าง และเอาหนามแหลมสานเป็นมงกุญสวมไว้ที่ศรีษะของพระองค์  เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นชีวิตแล้ว พวกสาวกของพระองค์ได้ขอนำพระศพไปฝังไว้ในอุโมงค์ในวันศุกร์  พวกศัตรูของพระองค์เกรงว่าจะมีคนมาลักพระศพของพระองค์จึงสั่งให้ทหาร 1 หมู่ไปเฝ้าปากทางเข้าอุโมงค์ไว้ แต่ในวันที่ 3 คือเช้าวันอาทิตย์ (ชาวคริสต์เรียกว่า วันอิสเตอร์) เกิดแผ่นดินไหวสั้นสท้าน  ก้อนหินก้อนใหญ่ที่ปิดปากอุโมงค์ของพระเยซูได้กลิ้งออก เมื่อสาวกของพระเยซูเข้าไปดูในอุโมงค์ก็ไม่พบพระเยซู  ต่อมาพระเยซูได้ปรากฎตัวในที่ต่างๆ ต่อสาวกของพระองค์หลายๆ คน บางคนคิดว่าพระเยซูเป็นผี แต่พระเยซูก็ให้พวกเขาจับดูเนื้อหนังของพระองค์  และมีครั้งหนึ่งพระเยซูได้กินปลาปิ้งกับสาวกของพระองค์ด้วย

พระเยซูคือพระเจ้าที่จะเดินทางจากสวรรค์มาตัดสินความผิดบาปของมนุษย์ทุกคน:
หลังจากการฟื้นคืนชีพและได้ปรากฎตัวแก่สาวก และประชาชนผู้ติดตามพระองค์ เป็นเวลา 40 วัน ก่อนที่พระเยซูจะจากไป พระเยซูได้สั่งพวกสาวกของพระองค์ว่า
(จากพระธรรมมัทธิว บทที่ 28 ข้อ 18-20)

"พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”

มีพระองค์ใดบ้างที่สัญญาว่าจะอยู่กับพวกสาวกตลอดไปจนกว่าจะสิ้นยุค (ถึงวาระสุดท้ายของโลก)

พระเยซูเป็นพระเจ้าที่ได้ตายไปแต่กลับเป็นขึ้นมาใหม่และยังเป็นอยู่
พระเยซูยังคงทำการอัศจรรย์ผ่านผู้ติดตามพระองค์ ด้วยการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ ให้คริสเตียนขับผี
วางมือบนคนป่วย การรักษาโรคยังเกิดขึ้นทุกวัน หากท่านสนใจลองค้นหาดูในอินเตอร์เนท หรือดูรายการทีวีดาวเทียมผ่านรายการทีวีต่างๆ อาทิ GodTV หรือ TBN ฯลฯ ท่านก็จะพบความจริงว่า คริสเตียนที่แท้จริงไม่ใช่ศาสนาคริสต์ แต่เป็นการที่เราได้รู้จักพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ที่เราไม่ต้องพก ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเช่า ไม่ต้องเสียเงินซื้อพระ หรือเครื่องรางใดๆ หรือต้องซื้อเครื่องบูชาใดๆ เพื่อทำให้พระเยซูพอใจเพื่อพระองค์จะได้อวยพรท่าน ไม่ต้องทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อจะได้มีชีวิตทีดี
พระเยซูประกาศว่า มนุษย์ไม่สามารถทำความดีให้ครบถ้วนเพื่อจะได้ไปสวรรค์ 
พระเยซูประกาศว่า พระองค์มาจากพระเจ้า มาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป ความทุกข์ และโรคภัย

พระเยซูประกาศว่า มนุษย์ไม่สามารถแสวงหาพระเจ้าด้วยการใช้ทรัพย์สมบัติแห่งโลก

สาวกพระเยซู ประกาศว่า เราไม่สามารถซื้อความรอดบาป หรือทำบุญมากๆ  หรือทำความดีใดๆ
เพื่อจะได้ไปสวรรค์แต่เราจะได้รับการยกบาปด้วยความเชื่อในพระนามของพระเยซูเท่านั้น



วิธีการที่ท่านจะได้รับพระเยซูเป็นพระเจ้า

1. ท่านรู้สึกตัวถึงพฤติกรรมบาป หรือการทำบาปของท่าน และยอมรับว่าในจิตใจลึกๆ ของท่าน ท่านได้เคยทำบาปมากมาย ท่านตกอยู่ในอำนาจของความบาป มีบางอย่างคอยชักจูงในท่านทำบาปอยู่เรื่อยๆ

2. ท่านถ่อมตัวลง แสดงออกด้วยการคุกเข่าลงและยอมพูดสารภาพความบาปต่อพระเยซูคริสต์ และขอการอภัยบาป

3. ออกปากพูดว่า พระเยซูคริสต์คือพระเยซูคริสต์คือองค์พระเจ้าที่เที่ยงแท้ และมีชีวิตอยู่

4. ออกปากเชิญพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทำให้พระเยซูคริสต์ฟื้นขึ้นจากความตาย เข้ามาอยู่ในชีวิต ในร่างกายในวิญญาณ เป็นพระผู้ช่วยเหลือในทุกๆ อย่างในชีวิต

5. ละเว้นความชั่วทั้งปวง และเริ่มศึกษาชีวิตและคำสอนของพระเยซูจากพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

6. หากท่านมีโอกาสก็ให้เลือกโบสถ์ที่จะไป เพราะในปัจจุบันมีโบสถ์คริสต์จำนวนมากที่เป็นเพียงศาสนสถาน ตั้งขึ้นเพื่อหลอกเอาเงินของคน หรือชักจูงให้คนเข้าไปอยู่ในศาสนาคริสต์แต่พวกเขามีพฤติกรรมไม่ต่างไปจากคนทำบาปทั่วๆ ไป หรือชักจูงให้ทำพิธีกรรมต่างๆ ที่เหมือนกับการบูชารูปเคารพทั่วไป

ขอพระเจ้าเปิดใจท่านให้เข้าใจข้อความแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตเหล่านี้ เทอญ

คำอธิษฐานต้อนรับพระเยซู (คำพูดที่พูดด้วยความจริงใจและมีสัจจะต่อพระเจ้า)

เพราะพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่ไม่ได้สถิตย์อยู่ในวัตถุ สิ่งของ ภูเขา แม่น้ำ เนินสูง ต้นไม้ หรือสิ่งก่อสร้างทางศาสนา หรือเป็นเหมือนผี หรือเทพต่างๆ ที่สถิตอยุ่ในเทวสถานที่มือมนุษย์ได้สร้างไว้ พระองค์สถิตทั่วไปหมด พระองค์จะได้ยินคำอธิษฐานของคนบาปที่ต้องการให้พระองค์ช่วยเหลืออย่างจริงใจ
ทุกคนสามารถอธิษฐานอย่างง่ายๆ ตามแบบนี้


พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ข้าพระองค์ขอเรียกพระองค์ว่า พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ตกอยู่ในนิสัยบาป เคยทำบาป ไม่สามารถช่วยตัวเองให้พ้นจากโทษแห่งการทำบาปได้ วันนี้รู้ตัวว่าเป็นคนบาป ต้องการการยกโทษบาป ขออาศัยพระบารมีของพระเยซูที่ได้ตายเพื่อคนบาปบนไม้กางเขน ขอฤทธิเดชจากเลือดอันศักดิ์สิทธิของพระองค์ชำระล้างความบาปของข้าฯทั้งสิ้น ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าฯ ขอเป็นลูกของพระเจ้า
ขอเชิญพระเยซูคริสต์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ โปรดเข้าสถิตมาอยู่ในชีวิต ในความคิด
ในจิตใจ จิตวิญญาณของข้า สอน เตือน นำ และดลบันดาลให้ชีวิตของข้าฯ ปลอดภัยจากอำนาจของซาตาน และความบาป ให้ข้าฯ ปลอดภัยอยู่ในพระองค์จนถึงชีวิตนิรันดร์ ข้าฯ ขอกล่าวคำอธิษฐานนี้ด้วยความสัจจริง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ อาเมน