หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Is Jesus real?


Josephus Jewish Antiquities (c.93 C.E.)
(later interpolations in brackets)
"Now, there was about this time Jesus, a wise man [if it be lawful to call him a man], for he was a doer of wonderful works, a teacher of such men as receive the truth with pleasure. He drew over to him both many of the Jews, and many of the Gentiles. [He was the Messiah.] And when Pilate, at the suggestion of the principal men amongst us, had condemned him to the cross, those that loved him at the first did not forsake him [for he appeared to them alive again at the third day; as the divine prophets had foretold these and ten thousand other wonderful things concerning him]. And the tribe of Christians, so named from him, are not extinct at this date.1

Pliny the Younger Letter to Trajan (c.111-117 C.E.)
"...they maintained that their fault or error amounted to nothing more than this: they were in the habit of meeting on a certain fixed day before sunrise and reciting an antiphonal hymn to Christ as God, and binding themselves with an oath not to commit any crime, but to abstain from all acts of theft, robbery and adultery, from breaches of faith, from repudiating a trust when called upon to honour it."2


Read more

Idolatry is Biggest Obstacle to World Mission


“Idolatry … is the biggest single obstacle to world mission,” said Wright, who will be the main drafter of the much-anticipated Cape Town Commitment that will come out of the week-long gathering of mission-minded Christian leaders.


 God’s people today, like in the Old Testament, have fallen to worshiping the false gods and idols of the world, said the international director of U.K.-based Langham Partnerships as he spoke before the thousands attending the Third Lausanne Congress on World Evangeliziation.

 According to Wright, the three idols are:

power and pride,
popularity and success,
and wealth and greed.

Read more 

How do we overcome the god of materialism in the Christian life?
  1. Recognize that our financial thinking has been conformed to the world's financial philosophy (Romans 12:1-2).
  2. Seek out Bible studies on Biblical money management. Crown Financial has a number of great small group studies to consider.
  3. Confess our sin and ask for God's wisdom on His philosophy of money management.
  4. Shift our priorities from gathering wealth and stuff to investing in the Kingdom of God (Matthew 6:33).
  5. Tithe. God wants us to give 10% of our income to not only further His Kingdom, but also so that we will recognize that He owns it all. Without His provision, we would have nothing.
  6. Give above the tithe. This is where true materialism begins to fade as we yield our grip on money.
  7. Seek out ways to give back to the poor.
  8. Sell some of your stuff. Tithe off your proceeds.
  9. Give away some of your stuff.
  10. Practice random acts of generous giving.

How do you battle materialism in your own life?

Does God exist? How can we observe there is God?


Just once wouldn't you love for someone to simply show you the evidence for God's existence? No arm-twisting. No statements of,

"You just have to believe."

Well, here is an attempt to candidly offer some of the reasons which suggest that God exists.

But first consider this. If a person opposes even the possibility of there being a God, then any evidence can be rationalized or explained away. It is like if someone refuses to believe that people have walked on the moon, then no amount of information is going to change their thinking. Photographs of astronauts walking on the moon, interviews with the astronauts, moon rocks...all the evidence would be worthless, because the person has already concluded that people cannot go to the moon.

Read more

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

How does the preachers teach in today's churches?

The preaching, in many of today’s churches, consists of foolishness, jokes, storytelling, and teaching what pleases people, rather than God’s pure Word. They do not usually preach that THE THOUGHT OF FOOLISHNESS IS SIN-Pv 24:9. Some of America’s best comedians are behind the pulpits. Should a preacher, who gets the congregation laughing with jokes, then expect people to fall on their faces before God with conviction for sin and with tears of repentance? Is this the way Jesus preached? Did Jesus try to comfort those that came to hear Him with jokes, foolishness, or other antics to cause them to laugh?




The preaching in many of today’s churches, consists of reading a few Bible verses; then the preacher talks about himself, his family, and other incidents that relate to the verses. The people learn very little about Jesus. They learn very little of the WORD OF GOD and of comparing the Word with the Word. 

Read more
 

หมายสำคัญ โดย อ.ประพันธ์ หน่อราช

หมายสำคัญ 

โดย อ. ประพันธ์ หน่อราช 

ยอห์น 6.1-65

พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม” (ยอห์น 6.26)

หลังจากที่พระเยซูได้ทรงทำการอัศจรรย์ เลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวแล้ว พระองค์ได้พาสาวกข้ามทะเลสาบไป แต่ประชาชนจำนวนมากที่ได้ลิ้มชิมรสอาหารจากสวรรค์แล้วนั้นได้พากันเดินลง เรือไปดักรอพบพระองค์ที่อีกฟากฝั่งหนึ่ง

เมื่อพบพระองค์ แล้ว พวกเขาทำทีเป็นเหมือนบังเอิญที่ได้พบกับพระองค์ที่นั่น ทักทายพระองค์ทำนองว่า “เอ๊ะ พระอาจารย์มาที่นี่ด้วยหรือ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” (ข้อ 25) การมีเจตนาบางอย่างแอบแฝงซ่อนเร้น ทำให้พวกเขาต้องเสแสร้งออกไปอย่างนั้น แต่ความในใจของพวกเขาไม่อาจซ่อนเร้นจากพระเยซูได้เลย พระองค์เปิดโปงเจตนาของพวกเขาในทันที

ถ้อยคำของพระองค์ แสดงถึงความผิดหวังอย่างยิ่ง “พวกท่านตามหาเรามิใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม (หรืออยากกินขนมปังอีก)” (ข้อ 26)

พระ เยซูทรงแยกแยะระหว่าง การมีประสบการณ์ในการอัศจรรย์ (กินขนมปังอิ่ม) กับการ “เห็น”หมายสำคัญ...

หลายครั้ง เราอดอาหาร อธิษฐาน และคาดหวังให้เกิดการอัศจรรย์ขึ้นในการประกาศพระกิตติคุณของเรา เรามั่นใจเหลือเกินว่า “ขอเพียงพระเจ้าทำการอัศจรรย์ รับรองคนไทยทั้งประเทศมาเชื่อในพระเจ้าแน่”

แต่เชื่อว่า เราคงเคยผิดหวังเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว เปล่า... ไม่ใช่ที่ไม่ได้เห็นการอัศจรรย์หรอก การอัศจรรย์เกิดขึ้นบ่อยๆ การอัศจรรย์ยังคงเกิดขึ้นได้ในทุกวันนี้ มีคำพยานในเรื่องเหล่านี้มากมาย แต่ที่ผิดหวังก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่หายโรค และมีประสบการณ์กับอัศจรรย์ในพระเจ้าจะมาเชื่อในพระเจ้าเสมอไป

พระ เยซูทรงยืนยันว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เห็นการอัศจรรย์จะเห็นหมายสำคัญเสมอไป

เมื่อ ผมเริ่มต้นรับใช้พระเจ้าเต็มเวลาครั้งแรกนั้น เป็นช่วงที่นักเทศน์รักษาโรคท่านหนึ่งขึ้นไปทำการที่สนามกีฬาเทศบาลนคร เชียงใหม่ มีการอัศจรรย์และการรักษาโรคเกิดขึ้นมากมาย คริสตจักรของเราได้รับแบ่งรายชื่อผู้เชื่อใหม่มาหลายร้อยคน ผมจึงอาสาที่จะออกไปติดตามผลผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นในอำเภอชนบทแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก

มีคุณยายคนหนึ่งที่ระบุในบัตร ตัดสินใจว่า หายจากอาการอัมพาต เดินไม่ได้มาหลายปี ดูตามที่อยู่ที่แจ้งไว้ คุณยายมีบ้านอยู่ใกล้ๆ ตลาดในตัวอำเภอ ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปตามอยู่สองวันจึงเจอบางคนที่รู้จักคุณยายคนนี้ คนข้างบ้านยืนยันว่าคุณยายหายอัมพาตจริง แต่ตอนนี้คุณยายไม่อยู่บ้าน

ผม ถามว่า ท่านไปที่ไหน? เพื่อนบ้านตอบว่า คุณยายไปฟังเทศน์และทำบุญ เพราะไม่ได้ไปวัดมานานแล้วเนื่องจากเป็นอัมพาต เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้ยินว่าไปให้หมอฝรั่งรักษาโรคที่สนามกีฬาฯ พอหายแล้วจึงดีใจมาก ได้ไปวัดเสียที

ผมก็ได้แต่งง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่หายโรคโดยพระนามของพระเยซูแล้ว กลับมองไม่เห็นความสำคัญของพระองค์เลย ทำไมการอัศจรรย์ใหญ่หลวงอย่างนั้น กลับไม่สามารถหันจิตใจของคนออกจากรูปเคารพมาสู่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ได้เลย?

คำตอบก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นการอัศจรรย์ จะเห็นหมายสำคัญเสมอไป

การอัศจรรย์กับหมายสำคัญ แตกต่างกันอย่างไร?

หมายสำคัญ ตามแนวคิดของพระคัมภีร์นั้น หมายถึง การอัศจรรย์ที่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงสัจธรรมที่สำคัญบางอย่าง

นั่น คือ พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์เดชและการอัศจรรย์ก็เพื่อจะชี้ให้คนเราเห็นความจริงที่ สำคัญฝ่ายวิญญาณบางอย่างนั่นเอง

การที่พระเยซูรักษาคนตาบ อด ก็เพื่อจะบ่งชี้ว่า พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก

เมื่อ พระองค์ทรงรักษาโรค ทำให้คนโรคเรื้อนหายสะอาด ก็เพื่อจะสำแดงให้คนทั้งหลายได้เห็นว่า พระองค์ทรงสามารถหอบเอาความบาปของเราไปได้ เป็นพระผู้ช่วยเราให้รอดจากบาป

พระองค์ ทรงทำให้ลาซารัสและคนอื่นๆ เป็นขึ้นมาจากความตายก็เพื่อเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงสัจธรรมที่ว่า “เราเป็นเหตุให้คนปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต”... พระองค์ทรงเป็นชีวิตนิรันดร์นั่นเอง

พระเยซูทรงเลี้ยง อาหารจากสวรรค์แก่คนเหล่านั้น ก็เพื่อจะบ่งบอกว่า พระองค์ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของพระองค์จะมีชีวิต (ข้อ 50-55)

หลาย คนยังมีเศษขนมปังและเนื้อปลาติดฟันอยู่ แต่ก็ไม่เคยมองเห็นสัจธรรมที่พระเยซูพยายามจะสำแดงผ่านทางการอัศจรรย์ใน ครั้งนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นเป็นประสบการณ์สุดยอด.. น่าตื่นเต้น.. อร่อย.. และมันส์.. คนที่กระทำอิทธิฤทธิ์อย่างนี้ได้ต้องถือเป็นยอดคน สมควรแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ เป็นผู้นำ เพื่อจะเลี้ยงพวกเขาด้วยอาหารวิเศษเช่นนี้ตลอดไป (ข้อ 15,

...เขา ทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและวางใจในท่าน ท่านจะกระทำอะไรบ้าง บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร (เราก็อยากกินบ้าง... ได้ไหม?) (ข้อ 30-31)

พระเยซู พยายามชักนำความคิดของพวกเขาออกจากการยึดติดอยู่เพียงการอัศจรรย์ ไปสู่หมายสำคัญ

...“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า... พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ ให้แก่ท่านทั้งหลาย เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” (ข้อ 33)

แต่จิตใจของพวกเขา ก็ยังคงยึดติดอยู่กับแค่อาหารฝ่ายเนื้อหนังเท่านั้น

เขา ทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้น (ขนมปัง) แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด” (ข้อ 34)

พระองค์ยังคง ไม่ละความพยายาม

พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย” (ข้อ 35)

แต่... “เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านได้เห็นเราแล้วแต่ก็ไม่เชื่อ” (ข้อ 36)

อัคร ทูตยอห์น กล่าวไว้ในพระกิตติคุณบทที่ 20 ข้อ 30-31 ว่า “พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายประการต่อหน้าสาวกเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์”

นั่นคือเป้าหมายจุด ประสงค์สำคัญที่สุดของการกระทำหมายสำคัญ

เพื่อให้ทุกคน ได้ “เห็น” ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งการเชื่อหรือการเห็นเช่นนั้นเอง ที่ทำให้เขาได้รับชีวิตนิรันดร์โดยพระนามของพระองค์

แต่ น่าเศร้าใจที่ ไม่ใช่ทุกคนที่หายโรค ทุกคนที่ได้พบและสัมผัสกับการอัศจรรย์ จะได้ “เห็น” ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า (ทั้งๆ ที่เป็นประสบการณ์จริง) บางคนเห็นพระองค์เป็นหมอฝรั่ง บางคนเห็นพระองค์เป็นแค่ศาสดา เป็นคนดี เป็นอาจารย์ เป็นอะไรก็ตามแต่จะจินตนาการไป แต่ไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอด

น่าเสียดายที่คริสเตียนจำนวน ทั้งๆ ที่รับเชื่อพระเจ้ามานานหลายปีแล้วก็ยังคงติดอยู่ระดับของการอัศจรรย์ และไม่เคยมองทะลุไปถึงหมายสำคัญ และก้าวเข้าไปสู่การมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์เป็นส่วนตัว

ไม่ ต่างอะไรกับคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร ที่มองเห็นการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตลอดระยะเวลาสี่สิบปี แต่สุดท้ายก็พากันล้มตายไปในความไม่เชื่อจนหมดสิ้นทุกคน

บท เรียนสำหรับเราในเรื่องนี้คืออะไร? ไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องทำการอัศจรรย์หรือ?

เปล่าเลย ให้เราทำยิ่งมากขึ้น แต่อย่ายึดติดอยู่กับการอัศจรรย์ อย่าติดตามนักเทศน์ เพราะ “ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างบ้าน คนทำงานก็เหนื่อยเปล่า” ให้เราทำการของพระเจ้าด้วยการพึ่งพาในพระเจ้า อย่าไว้ใจในเนื้อหนัง และอย่าไว้ใจแม้แต่ในของประทานของเราเอง

“ไม่มีผู้ใดมา ถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา จะทรงชักนำให้เขามาและเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์ผู้เผยพระวจนะว่า 'พระเจ้าจะทรงสั่งสอนเขาทุกคน' ทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา” (ข้อ 44-45)

โดย อ. ประพันธ์ หน่อราช  9 กุมภาพันธ์ 2010

* อ.ประัพันธ์ หน่อราช เป็นธรรมาจารย์ ที่มีของประทานในการสอน คือเป็นครูอาจารย์ (เอเฟซัส 4.11)
การสอนของท่าน ทำให้คริสเตียนได้รับความเข้าใจ และเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ เกิดการฟื้นใจอย่างมาก คริสตจักรใดสนใจติดต่อให้ท่านไปสอน ติดต่อทางอีเมล์ที่ pnawrat@gmail.com


-- ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่แล้ว
รีวัฒน์ เมืองสุริยา

Tags: การฟื้นฟู การเจิม การปลดปล่อย การพัฒนาความเชื่อคริสเตียน  การเผยพระวจนะ

การหายโรคอย่างปาฎิหาริย์ ด้วยฤทธิอำนาจของพระเจ้า

มีคนอาจคิดว่า การมาเชื่อพระเยซูอาจเป็นเพียงการหลงเชื่อตามคำโฆษณาชวนเชื่อ
บางคนอาจคิดว่า พระเจ้าไม่มีจริง พระเจ้าคือผู้มีหน้าที่ตัดสินลงโทษคนบาป แต่แท้จริง มีพระเจ้าองค์นี้ที่ชื่อว่าพระเยซูที่สามารถช่วยผู้ที่ถ่อมใจลงมาหาพระองค์ คนจะรับการรักษาให้หายโรคได้

ลองดูวีดีโอคลิปนี้

จากงานชีวิตมหัศจรรย์ ที่บางกอกฮอล์ ปี 2008 สวนลุมพินี หากไม่มีความจริงคงไม่ใครกล้าเอาออกมาเผยแพร่ ในการประชุมในครั้งนั้น เจ้าของเว็บนี้ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า ตนเองจะมีฤทธิอำนาจในการอธิษฐานเผื่อคนป่วยให้หายได้ ด้วยพระนามพระเยซูด้วยซ้ำ



อีกครั้งหนึ่งที่จังหวัดบุรีรัมย์ คนป่วยเหล่านี้บางคนไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซูคริสต์มาก่อนเลย แต่เมื่อเขาเปิดใจ พระเยซูก็รักษาพวกเขาให้หายได้อย่างอัศจรรย์ ผ่านทางการอธิษฐานวางมือของผู้เชื่อในพระนามของพระองค์



หวังว่าท่านที่ต้องการพบกับพระเจ้าที่แท้จริง ที่สามารถช่วยท่านได้ จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าของท่านตั้งแต่วันนี้

ขอคิดสกิดใจ

พระเจ้าต้องยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ ถ้าเราสร้างพระเจ้า และขายพระเจ้าเป็นสินค้าได้ พระเจ้าคงไม่ใช่พระเจ้า
พระเจ้าที่แท้จริงคงเป็นผู้ที่สร้างเรา และสามารถช่วยเหลือเราได้ในสิ่งที่เกินความสามารถของเรา

ขอพระเยซูคริสต์เจ้าอวยพระพร

Key word and Tags:
Tags: ทางออกชีวิต พระเจ้าอยู่ไหน ช่วยหนูด้วย ช่วยผมด้วย การรักษาโรคภัย ทางออกชีวิต วิธีการรักษา
ปัญหา ชีวิต อยากฆ่าตัวตาย เบื่อชีวิตมากทำอย่างไรดี วิธีการแก้เหงา ทำอย่างไร วิธีการ การแก้ปัญหา

keyword: ใครช่วยได้ พระเจ้ามีจริงหรือ พระอรหันต์ เครื่องราง การสะเดาะห์เคราะห์ อาจารย์หนู ยาแก้ มะเร็งเต้านม รักษาให้หาย ยาผีบอก ทางไปสวรรค์ ดนตรีเพื่อความการรักษา หมอดีที่สุด หมอวิเศษ

Tags: รีวัฒน์ , อาจารย์รีวัฒน์ reewat rewat การแก้กรรม การแก้ไสยศาสตร์ เอาครูออก ล้างคำสาป

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

33 Chilean miners rescured

Chilean Miners Rescued

The capsule used in the remarkable effort to rescue 33 Chile miners trapped underground for 69 days is going on world tour.

Millions of people around the globe watched the Chile mine rescue, where the white-red-and-blue Phoenix capsule tirelessly glided through the narrow, half-a-mile-long shaft to bring each miner out of the dark dungeon of the San Jose Mine on October 13.

"They've asked us to take the capsule on world tour as part of an exhibition, with a video," announced Chilean Interior Minister Rodrigo Hinzpeter. Read full story here.


MORE ...

Reverend Alfredo Cooper, chaplain to Chile’s president, was interviewed this afternoon about the rescue of the Chilean miners on Radio Five Live’s Drive programme by presenter Peter Allen.

Cooper took the opportunity with both hands to give the full glory to God, delivering a wonderfully clear and gracious testimony about the power of prayer. You are very unlikely to read the following transcript in any newspaper, so enjoy!

The discussion took place just after 5pm and you can now hear it on you tube or on the Christian Institute website.

Peter Allen: ‘Actually there was one gentleman I got a chance to talk to a little bit earlier. He’s the Reverend Alfredo Cooper. I’ll be absolutely honest with you. We heard an English voice down the line and in fact this gentleman apparently had turned up to thank the British press for what they’d done with this whole event and when they heard his English voice we got him in front of the microphone. He’s called the Reverend Alfredo Cooper. He’s actually chaplain to the country’s president and he told me when he first got involved in the aftermath of the mine’s collapse.’

Rev Cooper: ‘I am a chaplain in the presidential palace and so we had to quickly put together an emergency prayer meeting and it was with all our hearts because to imagine these 33 men a kilometre under the earth not knowing whether they were alive or what was going through their minds.17 days we prayed and then the miracle came when the boring machine glanced off a rock and hit them – hit the cavern they were in - and of course we just erupted in praise. The second service the president called for was a praise meeting so we had a thanksgiving service and since then we’ve had constant prayer. And this has been one of the interesting factors for folk like us to notice. Many of the miners went down as atheists, unbelievers or semi-believers and they have come up to a man testifying that they were not 33 but that there were 34 down there - that Jesus was there with them and that they had a constant sense of his guidance and presence.’

Peter Allen: ‘If you truly believe that it was divine intervention that rescued then presumably you believe that it was divine intervention that left them down there in the first place. I mean it doesn’t always make sense this kind of (chuckles) argument does it?’

Rev Cooper: ‘Well the thing is that in this fallen world this is exactly what does occur. Man is subject to accidents and all sorts of problems thanks often to his wilful negligence as was the case in this mine. There are consequences when you don’t care enough for people. And of course in those situations we might compare Jonah in the whale - you know people tend to cry out to God and this is what’s happened. And God has answered.’

Peter Allen: ‘So you believe God listened to your prayers? God listened to your prayers - God listened to their prayers. You believe they were rescued by divine intervention really?’

Rev Cooper: ‘Well of course we see the hands of all these magnificent experts all around, the good will of so many people internationally and the brilliant coverage of the press and we would suggest that all this works together for good, that certainly as we prayed God has guided in remarkable ways – even the scientists. I was with the NASA people who came the other day. And to my surprise - to a man they were believing scientists in their case - and they all said “This was a miracle. There is no other word for what happened here”.’

Peter Allen: (mumbling and sounding a bit uncomfortable)

Rev Cooper: (really getting into it now!) ‘So you know - Scientists, politicians, presidents - we’ve all come together in one happy moment saying, “Goodness! God is there and he answers prayer.” That’s how we feel. And certainly the miners are also testifying to the world of this - not just about that but certainly it seems to be a central factor.’

Peter Allen: ‘That’s the religious perspective from the Reverend Alfredo Cooper. It’s 5.15pm.’

I waited patiently for the LORD; he turned to me and heard my cry.
He lifted me out of the slimy pit, out of the mud and mire;
he set my feet on a rock and gave me a firm place to stand.
He put a new song in my mouth, a hymn of praise to our God.
Many will see and fear and put their trust in the LORD.
Blessed is the man who makes the LORD his trust.
(Psalm 40:1-4)




วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

You are protected from Satan if ....

You are protected from the attach of Satan and or demonic force if you are ....

Put on all of God's armor so that you will be able to stand firm against all strategies and tricks of the Devil (Ephesians 6:11, NLT).

Dear Friends,

A young minister shared with me one day, "I am afraid of Satan."

I replied, "You should be afraid of Satan -- if you want to live your own life and do your own thing apart from God. But if you are willing to let Christ control your life, you have nothing to fear because the Bible says, 'Greater is He that is in you than he that is in the world'" (1 John 4:4, KJV).

Continuing, I said, "Satan was defeated 2,000 years ago at the cross. Though he has great power to influence man, the Bible assures us that he is defeated by the blood of the Lamb and the word of our testimony" (Revelation 12:11, NIV).

This friend lives in a city where they have one of the largest zoos in the world. I said, "What do you do with lions in your city?" He replied that they keep them in a cage. I said, "Like the lion, Satan is in a cage, and he cannot hurt you unless you get into the cage with him. Get in the cage, and the lion will make mincemeat of you. But you have nothing to fear so long as you stay out of the cage. You have nothing to fear from Satan so long as you are continually surrendered to the Lord Jesus Christ and controlled by the Holy Spirit, by faith."

Satan could also be compared to Butch, a big neighborhood bully, who delights in beating up all the smaller children. Suppose my little lad of four years of age is on his way to kindergarten, and suddenly Butch steps out from his place of hiding and beats him up. So, the next day we walk to school together. Several days go by and we see no further sign of Butch. After a while my son says, "Daddy, I guess Butch has moved away. Now I can go to school on my own."

So, off to kindergarten he goes, when suddenly and without warning he is pounced upon by Butch, who had never left, but had been waiting every day, observing us as we walked to school together.

So it is in our relationship with Christ -- we are totally dependent upon Him. Satan cannot affect us as long as we walk with Christ and look to Him to fight our battles for us.

"Put on the full armor of God so that you can take your stand against the devil's schemes" (Ephesians 6:11, NIV).

Yours for fulfilling the Great Commission each year until our Lord returns,

A letter from Bill Bright

Thailand the Kingdom of God is Advancing!

Dear Kingdom Pursuers:

While flying back from Bangkok via Tokyo on the 19th of this month, and after praying for the people in Asia, the Lord prompted me to re-read Redeeming the Time. Time is precious. This is God's "now time" for Asia. China will be the most influential nation in the world in the next several years. Thailand is a nation that is modeling a Kingdom change. I want to encourage you that if you do not have Interpreting the Times and Redeeming the Time, to get both of these books.

In 1986, the Lord showed me the year 2012. I saw that in China there would be a new uprising. But this was to be God's people rising up! His people will be making a move in a new way. This may well create some conflict, but God's people will rise up and move in a way that the whole world will take notice that a new move of God is coming out of China. I have written about China's rise to preeminence in world affairs through the year 2026 in God's Unfolding Battle Plan. You can also read the vision of the future in The Future War of the Church.

The thing to note about Thailand is this: What has gone on in this nation in the last three years must go on in every nation. I do not know of another nation that has made a greater shift where the Kingdom of God has begun to manifest. This is shaking every structure of society!
You could equate this to what happened to Argentina in the 1990s. Ecuador is moving, and is very key because of its position in South America between Venezuela and Colombia and then Peru on the south. I feel like the Lord has made me keep our teams focused in Asia because the Body of Christ there is leading in shifting into the new.

On to Bangkok, Thailand!


Robert and Linda Heidler have taken several teams to this nation for several years. Two years ago, change began to manifest and accelerate. Not only have we ministered from north to south in this nation, but many of the key leaders have visited our Head of the Year and Starting the Year Off Right gatherings in Denton, Texas.

Before I stood to speak on Saturday night, I had a vision of what is to come over Thailand. I began to prophesy: "My dancing hand is moving across Thailand. I am rearranging many things in this land. I am liberating My people from north to south. I am raising up a new troop of worshipers from east to west. As My hand dances across this land, the people's feet will now begin to dance across this land. Thailand will be known as the land that danced with the Lord!"



I then saw swords start dropping over the land. The people began catching the swords and God's people began to make a new way by opening up places that had never been opened up. I then began to decree that we were here to announce to the leaders and the remnant that "He will train your hands for war!" The sword of the Lord will now be moving throughout Thailand. The sword of the Spirit will start separating and cutting loose, and many who have been bound by religion and structures will now be free to worship. I announced the next worship movement will now sweep Thailand, and that from that meeting onward a new way will begin to open up all across this land and worship will overtake this land.
"The Next Five Months in Thailand is a Very Vulnerable Time"

I began to exhort them: "The next five months in Thailand is a very vulnerable time. Lots of changes will begin to happen. There will be a lot of rearrangement going on in every area of society. And what will be happening with God's people is that He is preparing them to rise up in a new way. So to do that, He is cutting away all of the confusion that will hold you captive. In these next five months, when this nation has confusion, you will be settled, and you will be sure. You will have revelation over how to walk forward. You will find your path into the harvest.

And where the world is confused around you, and the nation is confused around you, God's people will rise up and many will start coming to align with you and God's people. The Kingdom of God will begin to advance. This day the Lord begins to roll away the reproach of your past. Even the reproach that Christianity has held in this nation, will now begin to roll away."
This was a "new wineskin meeting." I declared, "Because you have allowed the Lord to form a new wineskin, even people in the other religions of this nation will begin to see Christians differently.
They will start being drawn out of their religious structure toward you, and many will say, 'Let us go with you where you are going.' As of this night, God is cutting away the old.
"In the future ahead there is five months that the nation will seem very vulnerable. But the Lord says for the future, train their hands to war today. He is sending swords from Heaven today. So when things get hard five months from now, He has already re-equipped His people to advance. He is equipping them today for what will seem invincible to them five months from now, so that when they get here five months from now, they already have victory.

"Today, God is setting you into a place to have victory in your future. Not only is He equipping you, not only is He setting new leaders in place, not only is He commissioning leaders from one season into a new season, not only is He training your hands for war and releasing the swords from Heaven, but He is sending the Angel of the Lord over this nation.

"As of this night, this angel will lead you forth to create a worshiping nation. This angel will lead you forth as far north as you can go. As far west as you can go, as far east as you can go, and as far south as you can go. The nations around you will go into conflict, but because you have chosen to break into the new with the Lord, now He is sending a commanding angelic host over this land. You will not be warring alone any longer, for the angelic hosts will now surround this land. The angelic hosts will move from city to city as He creates a worshiping people. The angelic host will move up and down the river systems. The angelic host will liberate many out of old religious structures."

"I have come to train your hands for war. My word will become powerful across this land. You will learn to war with My word, and what appeared to be invincible in your past season will now be overcome by the Spirit of the Lord. Extend your hands, allow Me to lead you now in a new way, for a new movement has begun and has now come forth in this land! And this movement will increase and increase again, and you will multiply and you will prosper and all of the world will know that Christians triumphed in Thailand.

"The Spirit of God is now moving like a fire throughout this land, and the land will now be liberated to worship in a new way. The next four months I will be refining the vision of this place. I will be reviving My Spirit in the midst of the people of this place. The work of this place will create a revival move in this entire region. Many will come to see this move of God. Create ministry teams, for many will start coming and a demonstration will break out of this place. Teach them how to war. Teach them how to worship. And teach them how to impart My Spirit and decree My power. For My power will be demonstrated in this people. I will establish you in a place where many will find you."

We then commissioned 16 new leaders into the New Wineskin as Glory of Zion International Churches and Ministries. I admire Pastor Nimit (one of those commissioned in the picture on the left). He was the leader of the largest church in Bangkok. However, the old wineskin was unwilling to change. He traveled to America to meet with Peter Wagner and me in January. Peter explained how most likely he would have to leave that structure. He chose to leave the old structure in February. His new wineskin church is already drawing 1,500 – 2,000 each week. In the picture below, I am shown commissioning him into Global Spheres on Sunday morning. Other team members had also ministered that day at Pastor Poom's church in Bangkok. Sunday night all the churches met for a National Gathering to close the Refining Fire of Revival weekend.

A Shaking in the South and a Shift in the Kingdom of Thailand
The worship was amazing. God sovereignty formed an Anointing Tunnel as the dancers began to flow together with a covering of banners. Prophecy broke lose:

"Get ready, for the there is coming a shaking to the southern part of this land. As this shaking comes from the south, the Spirit of God will fall in the east. Watch as a sign the shaking that arises in the south, and watch the people of God cry out in the east. Watch the awakening in the north, and watch the streets of Bangkok begin to change and the glory and the liberty and the celebration overtake this city! You are in the last year of a major transition. You are crossing over into the next new move of this land. This move has already begun, and I am raising the leaders to lead in this move. Beginning in May, you will enter a six-year window. This window will be a window for a major move of My Spirit. Other gods that have ruled this land will lose their power."

The Kingdom of Thailand will begin to shift. The Lord continued: "For you have learned to worship in the Kingdom of Thailand. But in the six-year period ahead, kingdoms will change. Where this land has been known as one thing, it will be known as another. But within the kingdom of Thailand, the Kingdom of God is rising! Where the kingdom of Thailand has ruled one way, the Kingdom of God is now manifesting and there will a major rule of My Spirit begin. Where scattering has occurred, restoration now begins.

"And the sons and daughters that are in the next generation will not know Buddha, will not know Hindu, but they will know My Spirit. This new window now shifts over you, and your sons and daughters will prophesy – from the north to the east to the west and from the south. From this day forward over the next six years, you will celebrate yearly in this particular city (Bangkok). And the facilities of this city will not be able to hold all of My celebrating people. Heaven and earth are now becoming one!"
Blessings,

A prophecy of : Chuck D. Pierce
http://www.gloryofzion.org/outmail/10-18-10_AsiaTripReportOnline.htm

Read more from http://reewat.blogspot.com

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

รับใช้พระเจ้าแล้วจะได้อะไร

พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง ?

...แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า
"ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา
พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง" พระเยซูตรัสกับเขาว่า
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ในโลกใหม่คราวเมื่อบุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้น
พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่
พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า ผู้ใดได้สละบ้าน
หรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดา
หรือลูกหรือไร่นาเพราะเห็นแก่นามของเรา
ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่าและจะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย
แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้น จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย
และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น ( Matthew 19:27-30)



หลังจากที่พระเยซูแนะนำให้เศรษฐีหนุ่มคนนั้นขายทุกสิ่งแล้วแจกให้คนอื่น
เพื่อจะเป็นสาวกและตามพระองค์ไปได้
แต่เขาเป็นทุกข์เพราะห่วงทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มาก
และพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าหลังจากนั้นเขาทำอย่างไรต่อไปหรือไม่
แต่เหตุการณ์นั้นทำให้สาวกของพระเยซูมีคำถามขึ้นมาทันที
แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า
"ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา
พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง" พระเยซูมีคำตอบชัดเจนว่า
พวกเขาจะได้อย่างแน่นอน ทั้งสิทธิในการนั่งบัลลังก์
พิพากษาร่วมกับพระองค์และพระพรจากการที่ต้อง
เสียสละสิ่งสารพัดต่างๆถึงร้อยเท่าทั้งยังได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย
ซึ่งนับว่าเกินคุ้มกว่าที่ลงทุน
แต่ถึงกระนั้นยังมีความเสี่ยงสำหรับบางคนที่ไม่เอาจริงเอาจัง
ที่อาจพลาดจากลำดับต้นกลายเป็นสุดท้าย
ขณะเดียวกันเป็นโอกาสที่บางคนจะกลายเป็นลำดับต้น
อย่างฉับพลันได้ด้วย

คำถามของสาวกที่ว่า "พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง"
ทำให้คิดถึงความรู้สึกของคนที่ทุ่มเทชีวิตในการรับใช้พระเจ้าว่า
จะได้อะไรบ้างจากการออกไปรับใช้ ?
จากการที่ได้เสียสละสิ่งสารพัดเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อคริสตจักร
ดูแลคนของพระเจ้า ประกาศข่าวประเสริฐ ถวายทรัพย์
ถวายแรงกายและอาสาสมัครทำงานต่างๆ



จากประสบการณ์และการสังเกตในการประสานงานและนำทีม
อาสามัครทั้งจากในและต่างประเทศพบว่าการที่คนใดคนหนึ่ง
ออกไปรับใช้ต่างคริสตจักรต่างสถานที่ โดยร่วมมือ
กับคริสเตียนคนอื่นที่มีเป้าหมายคล้ายกันนั้น
มีประโยชน์เกิดขึ้นอย่างน้อย 4 ด้าน ได้แก่

1) ประโยชน์ต่อชีวิตของตนเอง
กล่าวคือชีวิตของคนนั้นจะรับประสบการณ์ใหม่ที่ดีและช่วยพัฒนาการรับใช้ให้มีโอกาส
มีความกล้ามากขึ้น ทำให้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น
รู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้น

2) ประโยชน์ต่อชีวิตของผู้อื่น
คนอื่นๆที่อยู่ในทีมด้วยกันต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และต่างเสริมสร้าง
พัฒนาชีวิตมากขึ้น
รวมทั้งคนทั่วไปยังรับสิ่งดีผ่านทางชีวิตของอาสาสมัครด้วย

3) ประโยชน์ต่อคริสตจักรหรือท้องถิ่นที่มีผู้ไปช่วย
ต่างรู้สึกซาบซึ้งถึงน้ำใจจากพี่น้องที่มาจากที่อื่น
ซึ่งช่วยกระตุ้นให้พวกเขากระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้ามากขึ้น
และยังช่วยให้งานสำเร็จได้มากกว่าที่พวกเขาจะสามารถทำเองในเวลาอันสั้นได้

4) ประโยชน์ต่อคริสตจักรที่ส่งอาสาสมัคร นอกจากที่ผู้รับจะได้พรแล้ว
ผู้ให้ยิ่งมีพระพรที่มากล้นเช่นกัน
เชื่อว่าอาสาสมัครคนนั้นเมื่อกลับไปยังคริสตจักรของตนแล้ว
จะเป็นผู้ที่เข้มแข็ง
เติบโตและพร้อมที่เป็นพระพรต่อคริสตจักรของตนเองมากกว่าที่ผ่านมาแน่นอน

ประโยชน์ทั้ง 4 ด้าน ที่กล่าวมา
เป็นผลส่วนหนึ่งจากการที่คนใดคนหนึ่งได้ออกไปร่วมมือกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ
ในสถานที่อื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดผลที่เป็นพระพรหลายเท่า
นับเป็นกระบวนการสร้างชีวิต สร้างสาวก สร้างผู้นำ สร้างผู้รับใช้
และสร้างคริสตจักรอย่างเกิดผลดี โดยผ่านทางการทำงานในสนามฝึกจริง
ในรูปแบบ Leaning by Doing
และเราต่างเชื่อว่ายังมีพระพรอีกมากที่จะเกิดขึ้นจากการร่วมมือซึ่งกันและกัน
ดังพระวจนะที่สอนว่า "...จงฝึกตนในทางธรรม
8เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง
ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง
เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย" ( I
Timothy 4:8) "จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า
พร้อมทั้งความสุขใจ" (I Timothy 6:6)

การที่เราทำงานรับใช้
ไม่ใช่เพราะเราสามารถทำอะไรได้มากกว่าหรือดีกว่าคนอื่น แต่ที่สำคัญคือ
เรามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของงานรับใช้ เจ้าของทุกสรรพสิ่ง
ที่เป็นต้นแบบแห่งการให้ การรับใช้อย่างสุดชีวิตของพระองค์เพื่อผู้อื่น
และเพื่อตัวเรามาก่อนแล้ว (Mark 10.45)
สิ่งที่เราทำนั้นเป็นการเดินตามรอยพระบาทของพระองค์
เพื่อแสดงว่าเรารักและต้องการตอบสนองต่อพระคุณของพระองค์เท่าที่จะสามารถกระทำได้
และด้วยความเชื่อว่างานทุกอย่างที่กระทำนั้นจะไม่สูญเปล่า (I
Corinthians 15.58)

คุณพร้อมจะออกไปรับใช้โดยร่วมมือกับคนอื่นมากขึ้นหรือไม่ ?
From: bandhit dawaen
Date: 2010/10/19
Subject: พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง ? โดย บัณฑิต ดาแว่น
คิดอย่างบัณฑิต โดย บัณฑิต ดาแว่น

www.KaoChristian.com

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ค่านิยมที่ดีของคริสเตียน คริสตจักรความหวัง

คริสตจักรความหวังมีค่านิยม "อย่า" อยู่หลายประการ หลายข้อเป็นสิ่งที่คริสเตียนน่าจะเอามาเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีในการทำพันธกิจของพระเจ้า คริสตจักรกลุ่มความหวังเขาโตไวจริงๆ

คริสตจักรความหวังโตไวเพราะเขามี วิสัยทัศน์ เป้าหมายและแนวปฎิบัติที่วัดผลได้ ตรวจสอบได้ มีแผนการปฎิบัติงานชัดเจน มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน มีการปฎิบัติที่ดี มีการสร้างผู้นำ สอนผู้นำให้รู้จักการวางแผนยุทธศาสตร์ การทำรายงาน การประเมินติดตาม เขาติดตาม ดูแล เลี้ยงดู เขามีหลักสูตรต่างๆ ให้สมาชิกเขาเรียนรู้ และฝึกฝน เขาทำจริงจึงเกิดผลดี น่าชมเชยจริงๆ

(เราไม่ควรคิดว่าความล้มเหลวการโกงของผู้นำบางคนจะทำให้คริสตจักรล้มเหลว ผมเชื่อว่าการแตกออกของเขาเป็นการแตกหน่อเพื่อจะเกิดผลมากขึ้นมากกว่า - การโกงเงินอาจเป็นจุดอ่อนอีกจุดหนึ่งของคริสตจักรในเครือนี้ก็เป็นได้ เพราะผู้นำมีอำนาจเหลือล้นจริงๆ )




1. อย่าให้ความรักสบาย มาแทนที่การเหยียดและการเห็นแก่อาณาจักรพระเจ้าขยายสูงสุด

2. อย่าให้ความรักเงินมาแทนที่ความรักพระเจ้าและคริสตจักรของพระองค์

3. อย่าให้การเอาแต่ใจตัวเองมาแทนที่การยอมจำนนต่อพระเจ้าและผู้นำของพระองค์

4. อย่าตระหนี่ จนลืมถวายด้วยใจกว้างขวาง

5. อย่าให้โลกส่วนตัวมาแทนที่การผูกพันตัวและการร่วมชีวิตกัน

6. อย่าให้ความจำกัดของตนเองมาแทนที่ความรักห่วงใยผู้อื่น

7.อย่าให้ความไม่อดทนรอคอยมาแทนที่การเชื่อฟังพระสัญญาในพระวจนะของพระเจ้า

8.อย่าให้ค่านิยมของโลกมาแทนที่ ศุภนิมิตของพระเจ้า

9.อย่าเอาแต่บรรยากาศนันทนาการมาแทนที่บรรยากาศฝ่ายวิญญาณ

10. อย่าให้วิญญาณกบฏมาแทนที่ความจงรักภักดี

11. อย่าให้เหตุผลจอมปลอมมาแทนที่การกลับใจใหม่เสมอ

12. อย่าให้เพลงของโลกมาแทนที่เสียงแห่งการนมัสการสรรเสริญ

13. อย่ายุ่งกับงานจนลืมรับใช้พระเจ้า

14. อย่าให้ความเร่งรีบไม่มีเวลามาแทนที่การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าและพี่น้อง

15. อย่าให้ความเห็นแก่ตัวมาแทนที่การร่วมไม้ร่วมมือเห็นแก่ภาพรวม

16. อย่าให้ความมักง่าย มาแทนที่ความดีเลิศเพื่อพระเจ้าของเรา

17. อย่าให้ความอยากได้ มาแทนที่ความรอดและแผ่นดินพระสัญญา

18. อย่าให้หยาดเหงื่อของคนรุ่นแรก ๆ ต้องสูญเปล่าเพราะรุ่นของเรา

แหล่งข้อมูล
http://www.hopeofbangkok.com/index.php/2010-06-04-02-07-46/2010-06-04-06-07-52


แล้วคริสตจักรที่คุณเป็นสมาชิกอยู่ล่ะมีค่านิยมอะไรบ้าง

น่าเสียใจที่คริสตจักรไทยจำนวนมากติดหลุมโคลนแห่งความเสื่อม ไม่สามารถจะส่องแสงสว่างใดๆ แก่ชุมชนได้เลย เป็นเพียงตะเกียงผุๆ ที่ขาดน้ำมัน เป็นเพียงแสงหิ้งหอยใกล้ดับ ผู้นำเป็นเพียงไม้หลักปักเลน ผู้นำอ่อนแอ นักการศาสนาเป็นแค่ลูกจ้าง ไร้อำนาจ ไร้เงิน มีแต่ความคิดที่บันเจิด แต่ปีแล้วปีเล่า สมาชิกล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ สมาชิกที่หลงเหลืออยู่ก็แก่เฒ่า คนหนุ่มมันก็ไม่ค่อยเข้าโบสถ์ อ้างไปเรียน ไปกวดวิชา กลับมากลายเป็นตุ๊ด เป็นดี้ เป็นเกย์ คริสตจักรมีพวกรักร่วมเพศเกิดขึ้นเรื่อยๆ คริสตจักรไม่มีนักดนตรี ไม่มีการพัฒนาด้านจิตวิญญาณใดๆ รอวันที่จะล้มสลายไป และสิ่งต่อไปนี้เป็นตัวชี้วัดถึงความเสื่อมของโบสถ์คริสต์หลายๆ แห่ง บางแห่งเป็นของจริง บางแห่งเป็นของปลอม ท่านลองอ่านและสังเกตว่าเป็นอย่างไร ดังนี้

1. สิบปีที่ผ่านไปคริสตจักรยังไม่เคยจัดประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์กลางแจ้งสักครั้ง


2. คริสตจักรเน้นจัดงานเทกระจาดปีละ 1 ครั้งในวันคริสตมาส ได้คนเชื่อไม่กี่คน บางแห่งนำคนมาเชื่อพระเจ้า ไม่ถึง 10 คนต่อปี หลายบางแห่งตั้งมา 50 ปี ปีละ 1 คนยังไม่ได้
  อ่านต่อกรุณาคลิก

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Asking God but no answer?

วิธีจัดการกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ


"จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า
เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก" (สดุดี
46:10)

วิธีจัดการกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ

หลายครั้งในชีวิตเรามีคำถามกับพระเจ้าว่า "ทำไม" - "ทำไม...
เหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้นกับเรา ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานของเรา" ทำไม...
ทำไม และ ทำไม ...ให้เรารู้ไว้ว่า

1) พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะตอบคำถามทั้งหมดในชีวิตเรา
หมายความว่าพระองค์ไม่เคยสัญญาว่าจะเปิดเผยทุกสิ่งให้เราเข้าใจ
นั่นจึงทำให้เราต้องพึ่งพาพระองค์
ถ้าเราเข้าใจความล้ำลึกทุกอย่างของพระองค์ได้
พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แล้ว

2) ที่พระเจ้าไม่ตอบคำถามทั้งหมด
ไม่ได้แปลว่าพระองค์ไม่มีคำตอบให้ชีวิตเรา แต่แปลว่าพระองค์ทรงให้เรา
"นิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า"
นั่นคือเราจะแสดงให้พระองค์ได้เห็น -
ความเชื่ออย่างสุดใจที่เรามีต่อพระองค์ได้ในเวลาที่มืดมิดที่สุด

*ในเวลาที่มืดมิดที่สุดไม่ได้แปลว่าไม่มีความสว่างเหลือ อยู่
เช่นเดียวกับเราอยู่ในห้องมืดมิดที่ปิดม่านหมด ข้างในห้องอาจจะมืดมิด
แต่เรายังรู้ได้ว่าข้างนอกมีแสงสว่าง แล้วทำไมเวลาที่เราผจญความทุกข์ยาก
เรามักลืมว่าเรามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือความทุกข์ยากและปัญหาใดๆสถิตอยู่
กับเรา!!

*พระเจ้าทรงต้องการให้เรามั่นใจในการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ ในทุกเวลา
นั่นจึงไม่มีคำตอบในคำถามของเราในบางครั้ง ...เราต้องเชื่อวางใจพระองค์
อะไรที่พระเจ้าเปิดเผยในชีวิตเรา
ก็เพียงพอให้เราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้

3) เมื่อต้องรอคอย หรืออยู่ในความทุกข์ใจ เราจะบ่นว่าพระเจ้า
ต่อว่าพระองค์ว่าพระองค์ไม่สนใจเรา... แทนที่จะทำเช่นนั้น
ให้เราคร่ำครวญกับพระองค์เหมือนผู้เขียนในบทเพลงสดุดี
ให้เราเปิดเผยความรู้สึกในใจกับพระองค์ เพราะถ้าเราปิดบัง
พระองค์ก็ทรงทราบอยู่ดี เพราะไม่มีอะไรที่เป็นความลับสำหรับพระองค์
..."จงเข้าไปที่นั่งแห่งพระคุณ อย่างที่เราเป็น"

*ที่สำคัญและลืมไม่ได้* พระองค์ทรงรักเรา ให้วางใจในความรักนั้น

*ผู้ชอบธรรมของพระเจ้าจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามที่ตามองเห็น*

4) การที่เรารู้คำตอบของคำถามว่า "ทำไม" ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง -
เช่น เมื่อคนที่เรารักจากไป (เสียชีวิต) เราอาจมีคำถามมากมายถามพระเจ้า
ทำไมต้องเป็นคนที่เรารัก? ทำไมต้องเวลานี้? ...ทำไมๆๆๆ? ...
ถึงแม้เรารู้คำตอบของทุกคำถาม แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนไปคือ
คนที่เรารักก็ไม่สามารถฟื้นขึ้นมา ดังนั้นเราจะรู้คำตอบไปเพื่ออะไร? -
เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ ทุกสิ่งที่ผิดพลาดไปในอดีต
เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เราใช้เป็นบทเรียนได้
และสามารถทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้ เมื่อเราอยู่ในทางของพระเจ้า

5) จงถามคำถามอื่นนอกจาก "ทำไม"

* ถามพระเจ้าว่าเราจะทำอย่างไร เพื่อผ่านความทุกข์ยากนี้ไปได้
เราจะมีวิธีรับมืออย่างไร?
* ถามพระเจ้าว่า ในความทุกข์ยากนี้
พระองค์ทรงมีพระประสงค์ใดในชีวิตเรา?
* ถามพระเจ้าว่า ในความทุกข์ยากนี้
ชีวิตเราจะถวายพระเกียรติพระองค์ได้อย่างไร?
* ถามพระเจ้าว่า ในความทุข์ยากนี้
เราจะเติบโตผ่านความทุกข์นี้ได้อย่างไร?

โดย: ครูแอน (นันทนา บุญ-หลง)

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

A Vision given to Mary Rink

Rev 4:1 After this I looked and, behold, a door was opened in heaven, and the first voice, which I heard was as it were of a trumpet talking with me, which said...Come up hither and I will shew thee things which must be hereafter. And immediately I was in the spirit and behold, a throne was set in heaven, and one sat on the throne 5. And out of the throne proceeded lightenings and thunderings and voices, and there were seven lamps of fire burning before the throne, which are the seven spirits of GOD.
I saw in a ray of light my second Bible that I had received, a green and black paper back of the
Living Bible. In this Bible I could see the scripture John3:16.

The Holy spirit said to me." You love this scripture it is what I used to draw you to me that day on June 3rd 1973 '

Suddenly I was in the spirit in Heaven. I was taken into the throne room of GOD where I beheld a stand arrayed in gold which held the Lambs book of Life..

An angel of great height called me forth to look in the book. I stood beside him and he opened up this book of Life, his finger went down the page to my name which then stood out in gold writing, Lynda Mary Murray June 3rd 1973 he then spoke and said..On this day you received me. This day I saw you complete.

John 17:20 Neither pray I for thee alone, but for them which shall believe on me through the word. That they all may be one, as thou, Father art in me, and I in thee, that they also may be one in us, that the world may believe that thou hast sent me, and the GLORY which thou gavest me I have given them; that they may be one even as we are ONE. I in them and thou in me; that they may be made perfect in ONE.

2 Cor 5:8 We are confident; I say; and willing rather to be absent from the body , and to be present with the LORD

ความเข้าใจเกี่ยวกับการปลดปล่อย


การอธิษฐานด้วยการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
เป็นสิ่งสำคัญ มาก รูปแบบนั้น ไม่สำคัญ เท่ากับ การฟังเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะนำ บ่อยครั้งที่มีผู้มาขอให้ผู้เขียนอธิษฐานอวยพร แต่พระองค์ กลับตรัส ทรงเตือน ให้ผู้รับอธิษฐาน ในบางเรื่องแล้วก็ค่อยอวยพร ครั้งหนึ่ง มีคน มาขอให้อธิษฐานเผื่อสามีของเธอ แต่พระเจ้ากลับ ตรัสให้ผมอธิษฐานอวยพร(ให้เธอกลับใจ)เแทน ครับ ให้เชื่อฟังให้เกียรติ สามีของเธอที่ เพราะเธอรู้สึกว่า สามีของเธอไม่รักพระเจ้า ไม่รักเธอ แต่แท้จริงเธอกำลังเป้นผู้ที่ควบคุมสามี ทุกอย่าง บ่นชอบตำหนิ สามี ของเธอให้เป็นอย่างที่เธอเป็น(วิธีการดำเนินชีวิต) แต่เธอไม่ยอมจำนนต่อ สิทธิอำนาจสามีของเธอ ม่ยอมให้สามีรักพระจรับใช้ตามที่สามีของเธอภนัด เห็นหรือยังว่า การฟังเสียงพระเจ้าในการอธิษฐาน แก่ผู้อื่น จึงเป็นพันธกิจหนึ่ง ที่เสริมสร้างได้ดีมากทีเดียว เพราะเป็นการสั่งสอนการเตือนจริงๆครับ

การอธิษฐานวางมือ เป็นงานรับใช้พื้นฐาน ของพวกเราผู้เชื่อทุกคน และทำได้ง่าย ทุกที่ ไม่ต้องมีตำแหน่ง ในคริสตจักร แต่เป็นอาวุธสำคัญ ที่จะปกป้องตัวเราเองหรือ ช่วยเหลือผู้อื่น อีกทั้ง ใช้เป็นยุทธวิธีในการประกาศได้ดีเยี่ยม เพราะก่อนที่พระเยซูคริสต์สั่งก่อนเสด็จสู่ สวรรค พระองค์ทรงตรัสสั่ง ให้ออกไปอธิษฐาน วางมือ ขับผี บัพติศมา ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ภาษาแปลกๆ และในพระธรรมฮิบรูก็สอนเราว่า การวางมือ เป็นพื้นฐานหลักข้อเชื่อ อันหนึ่งด่วยเช่นกัน แต่เราจะเห็นว่า คริสเตียนสมัยนี้ จะเห็นประสพการณ์ ในการ อธิษฐานวางมือ ขาดไป หรือน้อยลง หรือจะเรียกว่า เราเน้นการกลับใจ การประกาศ หลักข้อเชื่อ อื่นๆ แต่เลี่ยงการวางมือไปเสียแล้ว เราจะทำกันเพื่อการอวยพร เท่าที่จะทำ แต่ไม่ได้เป็นพันธกิจหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราที่จะช่วยเราได้อย่างมาก มหาศาล

(มก16: 15-19 ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า "เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค"ครั้นพระเยซูเจ้าตรัสสั่งเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ให้ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า) พระธรรมฮิบรูเอง ก็ กล่าวถึง หลักข้อเชื่อพท้นฐานของคริสตชน ฮีบรู 6:1-2 เหตุฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักธรรมเบื้องต้นแห่งคริสตศาสนา ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย เรื่องความเชื่อในพระเจ้า และคำสอนว่าด้วยพิธีล้างชำระ และพิธีวางมือ และการเป็นขึ้นมาจากตาย และการพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์นั้น แต่เราจะเห็นว่า คริสเตียนสมัยนี้ จะเห็นประสพการณ์ ในการ อธิษฐานวางมือ ขาดไป หรือน้อยลง หรือจะเรียกว่า เราเน้นการกลับใจ การประกาศ หลักข้อเชื่อ อื่นๆ แต่เลี่ยงการวางมือป)

รูปแบบ กับความชอบ ไม่ใช่คำตอบในการอธิษฐานวางมือ แต่การทรงนำ การสั่ง จากพระวิญญาณสำคัญกว่า เราจึงอย่า สร้างกำหนดรูปขึ่นมา แบบเดียว ในการอธิษฐานเผื่อผู้อื่น พระเยซูคริสต์เอง บางครั้งพระองค์ก็ใช้วิธี แปลกๆ เช่น สั่ง ขับผี พูด ปกติธรรมดา หรือ รักษาโรคโดย เอาโคลนป้ายตา หรือ แต่ตอนนี้ผมอยากจะพูดหลักการเบื้อง ต้น ในการทำพันธกิจนี้ ก่อน เพื่อท่านจะได้รับการยอมรับ และ ทำพันธกิจในมิติที่ได้กว้าง ขวางขึ่นไปอีก อีกทั้งสามารถช่วยเหลือคนได้หลายด้านด้วย หากท่านค่อยๆฝึกจนชำนาญ แล้ว และได้ยินเสียงพระเจ้าชัด พันธกิจของท่าน จะช่วยคนได้มาก และเห็นผลชัดเจนมาก ครับ ทำไมผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ่นมา ? เพราะจาก การสัมนา อบรม หรือร่วมทำพันธกิจ การสร้างผู้นำ ในพันธกิจวางมือ ให้กับ ผู้รับใช้ที่กำลังฝึกไหม่ หรือรุ่นน้องที่กำลังร้อนรน ผมเห็นสิ่งหนึ่ง คือ การกำหนดรูปแบบ ที่เคยทำสำเร็จแล้วก็นำกลับมาทำอีก หรือ ทำแต่สิ่งที่ตนเองชอบ หรือ ทำแต่รูปแบบที่ตัวเองอยากทำ ทั้งที่พวกเขาเหง่านั้น กำลัง เคลื้อนในพระกาย ที่หลากหลาย และมากด้วย ความต้องการ ของที่ประชุม หรือ ผู้นำบนธรรมมาส วิทยากรหรือศิษยาภีบาลกำลัง บอกมห้ทำบางอย่างเช่น บางรายการ ผมได้รับการทรงนำให้ ที่ประชุม อธิษฐานอวยพรซึ่งกันและกัน หรือ ปลดปล่อย ถ้อยคำแห่งชับชนะ แห่งความเชื่อ แต่ก็จะมีบางท่าน ก็จะเริ่ม เอามือวางที่ศรีษะ คู่อธิษฐาน(ผู้รับการอธิษฐาน อาจเป็นผู้เชื่อไหม่ หรือ ผู้เชื่อเก่าที่ไม่เข้าใจ) จากนั้น น้องท่านนี้ เริ่ม เจิม ด้วยๆฟบ้าง ปลดปล่อยถ้อยคำ การเจิม ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษบ้าง ไทยบ้างที่เลียนแบบ จากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ผมกับที่ประชุม ต้องก็รอคนคู่นี้อธิษฐานเสร็จ ก็กินเวลาในการสอน ทำพันธกิจอย่างอื่นต่อไป ไปนานเลยครับ

เรื่อง ไม่จบเท่านั้น คาบต่อไป ผมสอน และ เริ่ม เรียนในหัวข้อ การอธิษฐาน ตัดความสัมพันธิ์บ้าง หรือ ประกาศการยกโทษ หรือ ปลดปล่อย จากการผูกมัด หรือ ประกาศ พระสัญญาของพระเจ้า แต่ พี่น้องท่านนี้ยังคง ทำเหมือนเดิม คือ จะเริ่มเจิม ดังที่เล่า กับคู่ต่อไป ทำแบบเดิม ไป เรื่องที่น่า เศร้าคือ น้องผู้รับใช้ท่านนี้ผมชมว่า มีหัวใจที่ดี ในการรักพระเจ้า แต่ ว่า เขาขาด การเชื่อฟัง หากเป็นทหาร เข้าสู้รบ สู่สงคราม กองร้อยนั้น แพ้ราบคาบแน่นอน ครับ หรือหากเป็นทีมฟุตบอล ก็คือ จะทำให้ด็ชปวด หัว เพราะคำสั่งให้วิ่ง สลับ ชา เตะลูกบอล หรือ ฝึกโหม่ง คนๆหน่งไม่สนใจ จะเตะเข้าโก อย่างเดียว ลองคิดว่า ทั้งทีมจะได้รับการพัฒนาไปได้มากแค่ไหนครับ หรือออกสู้รบ บางครั้งในความเงียบ ในป่า อาจใช้มีด บางสถานการณ์อาจใช้ปืน บางโอกาส ต้องใช้ธนู แต่คนนหนึ่ง จะโยนระเบิดอย่างเดียวทุกสถานการณ์ เพราะใช้อาวุธผิดประเภท ผิดกาละเทศะสิครับ จนสุดท้าย เสียงสะท้อน กลับมาถึงผมคือ คนส่วนไหญ่ ไม่อยากจับคู่ อธิษฐานกับ ท่นผู้นี้ เพราะ ไม่ได้ฝึกตามขบวนการหลากหลาย ที่เข้ามาร่วมสัมนนา เพราะต้องมารับรูปแบบเดียว กับน้องผู้รับใช้ จากคนๆนี้ น่าเสียดายครับ เขามีหัวใจดี แต่ขาดการเชื่อฟัง คำสั่ง ใช้ สิทธิอำนาจ ในทางที่ผิด เป็นคนมีหัวใจดี แต่ไม่มีใครยอมรับในความร้อนรนของน้องผู้รับใช้ท่านนี้ น่าเสียดาย ที่ผมได้มีโอกาสสอนเตือน วันนี้เขายังคง เชื่อในรูปแบบของเขาว่า เจิม เท่านั้น เป็นคำตอบทุกสิ่ง แต่อย่าลืมว่า การเจิม จะมาพร้อมกับการเชื่อฟัง ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และเสียงของพระวิญญาณที่บอกเรา ไม่ใช่ สิ่งที่เราชอบที่จะทำเท่านั้น วอชแมนนี กล่าวว่า “ท่านจะมีสิทธิอำนาจ ได้นั้นท่านต้องอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจครับ”

หนึ่ง สิ่งที่ต้องคำนึง คือ กาละเทศะ ในการอธิษฐานอวยพร อยากหนุนใจ คือ การวางมืออธิษฐานแบบอวย พร ซึงกันและกัน ใน คริสตจักรมากๆ พระเยซู ทรงอวยพร เด็กๆ ทรงสั่งให้ไปตามบ้านใดก็อวยพรบ้านนั้น เรา ทำได้กับทุกคน ไม่เครียด สนุก สบายๆ อบอุ่น ไม่ว่า เด็กหรือผู้ไหญ่ ผู้เชื่อไหม่หรือเชื่อมานาน ทำได้เท่าที่ทำ ความสำคัญ อยู่ที่ฤทธอำนาจของพระวิญญาณ ทรงสัมผัส และสถิตอยู่ด้วย ฤทธิอำนาจ ไม่ใช่ที่มือเรา แม้เป็นผู้เชื่อเก่าหรือไหม่ เก่งไม่เก่งมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง มือและหัวใจอันเต็มด้วยความรัก เป็นเครื่องมือ สัญญักษณ์ ที่จะให้พระพรของพระเจ้า ไหล ผ่านพวกเราไปสู่ ซึ่งกันและกัน แต่การอธิษฐาน ควรให้เกรียติผิอื่น เช่น ขออนุญาติ บางท่าน เพราะบางทีเขาอาจไม่พร้อมจะรับคำอธิษฐานจากท่าน มีเหตุผลมากมาย หรือการอธิษฐานแก่ ผู้ที่อาวุโสกว่า หรือแก่สตรี ท่าทาง หรือการ แตะเนื้อต้องตัว ควรที่จะเหมาะสมครับ เราทำได้ทุกที่ แม้การเปิดตาอวยพร ตามข้างถนน ขับรถไปเปิดตาอธิษฐานอวยพรแก่กันในรถ เห็นไหมครับว่าผ่อนคลาย (ยกเว้น พระวิญญาณจะสั่งชัด และมีการเยี่ยมเยียนจากพระองค์ หรือมีการเทของพระวิญญาณ เสด็จมา ตอนนี้ท่านตามเคลื่อนไปเลยครับ) แต่หากยังไม่มีอะไรพิเศษ ก็สนุกกับการรับพระพร ในการ อวยพรแก่กัน ดีกว่า ครับ

สอง ทักษะบางเรื่อง การอธิษฐานเพื่อเยียวยา บำบัดปลดปล่อย สำหรับผม การอธิษฐาน ทำพันธกิจแบบนี้ หากเป็นไปได้ การเผยวจนะ การเยียวยา การปลดปล่อย การขับผี การนำสารภาพบาป ตัดความสัมพันธิ์ ควรเปิดตาจะดีกว่า เพราะเราไม่รู้ล่วงหน้าว่า ผู้ที่รับการอธิษฐาน รับทำพันธกิจจากเรา มีบาดแผล จะสำแดงอาการ อะไรออกมา ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้อธิษฐานเผื่อท่านหนึ่ง สักครู่ เธอเริ่มมีอาการสั่น ร้องให้กรีดร้อง ดึงผม ของตัวเอง เอามือชกขึ่น บนฟ้า ไปโดน บางท่าน เห็นหรือยังว่า การอธิษฐานปลดปล่อยเยียวยา จะเกี่ยวกับ วิญญาณและบาดแผล อารมย์ที่บาดเจ็บ ที่ปะทะกับฤทธิอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากท่านอ่านพระคัมภีร์ จะเห็นว่าพระธรรมยอห์น 17พระเยซู อธิษฐานเปิดตา และ ออกเสียง จน ยอห์นบันทึกคำอธิษฐานนั้นได้ การอธิษฐานพันธกิจแบบนี้ หากเราหลับตา เรอาจรับบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจได้ครับ และหากแก้สถานการรณ์ไม่ทัน ก็จะทำให้เกิดการเสียหายมาก อีกรายหนึ่ง ขณะอธิษฐาน โดยปกติเธอเป็นคนเรียบร้อยมาก พอผ่านไปสักครู่ เธอยืนขึ่นและวิ่งไปที่หน้าต่าง เพื่อะกระโดด ฆ่าตัวตาย ดีนะครับที่ทีม เราฝึกเปิดตา วิ่วจับเธอไว้ และปิดหน้าต่างทัน ซึ่งเราจะคุยกันในหัวข้อ การวางมืออธิษฐาน ในการทำพันธกิจ บำบัดปลดปล่อย ในอนาคต ครับ

ตอน นี้มาเข้าเรื่องอีกที แล้วเราลองสิครับว่า ผู้รับอธิษฐาน กำลังการต้องการการปลดปล่อย เรื่องเสพติดบางเรื่อง แต่มีบางคน ก็เริ่มเจิมด้วยๆไฟ ส่งต่อไฟ ดังรูปแบบที่ผมกล่าวตั้งแต่ต้นให้ฟัง แทนที่จะนำผู้รับการอธิษฐาน ประกาศการให้อภัย สารภาพบาป กลับใจไหม่ ปลดปล่อย จะดีกว่าไหมครับแล้วค่อยเจิม เพื่ออฤทธิอำนาจ ของพระเจ้าจะได้เยียวยารักษา ฟื้นฟูชีวิตผู้รับคำอธิษฐานไหม่ ซึ่งเรื่องนี้ เราต้องฟังเสียงพระวิญญาณ ด้วยว่า เราจะเจิมก่อนหรือนำการสารภาพ ปลดปล่อย เยียวยาก่อน(เรื่องนี้ยืดหยุ่นได้ และต้องฟังเสียงพระวิญญาณในตอนนั้น) เพราะ บางครั้ง คนเรายังไม่สามารถสารภาพบาป กลับใจไหม่จากความบาปบางเรื่อง และยังพึงพอใจกับบาปนั้นอยู่ เขาเข้ามาเพื่อจะจัดการตามขบวนการ ดรียนรู้และ เข้าใจ แต่กลับมีบางคน เริ่มมาเจมอีกแล้ว จะเกิดผลหรอครับ ?ทำไม? เพราะผู้นั้นยังรักจะเก็บความบาปนั้นอยู่ สำหรับผม อธิษฐานปลดปล่อย นำสารภาพก่อนเจิมดีกว่าครับ ส่วนเรื่องการเจิมนั้น ท่านสามารถอ่าน ในเรื่อง เมื่อรับการอธิษฐาน และพันธกิจในการอธิษฐาน และผมเชื่อ และ รัก เน้นเรื่องการเจิม ล้านเปอร์เซ็นครับ แล้วจะเขียนในเรื่อง นี้เช่นกันในอนาคต

สาม กุญแจ และ ข้อคิด ในการอธิษฐาน เพื่อส่งต่อการเจิม
อัน นี้ ผมอยากไห้เราพิจารณาดีๆครับ เพราะมีหลายคน เมื่อเข้าไปตามงานสัมนา หรือการประชุม ในคริสตจักร เที่ยววางมือ อธิษฐาน เจิมส่งต่อการเจิม หรือเรา จะใช้อีกคำว่า Impartation เป็นศัพท์ ใน พระคัมภีร์ คือการส่งต่อ มีหลายความหมายนะครับ เช่น ส่งต่อ สิทธิอำนาจ ส่งต่อหน้าที่ เช่น โมเสส ส่งต่อหน้าที่ ภาระให้แก่โยชูวา มันรวมถึงภาระหน้าที่ เอลียาห์ ส่งต่อให้เอลีชา เปาโลส่งต่อให้ ทิโมธี นั่นย่อมแสดงว่า โมเสส เอลียาห์ เปาโล เป็นเจ้าของๆประทานการเจิมนั้น ท่าน เหล่านั้น ปล้ำสู้ ปฎิบัติ ศึกษา เรียนรู้กับพระเจ้า ชั่วโมงบินสูงมาก ทำจนเป็นสิทธิอำนาจ เป็นเจ้าของๆประทานนั้น เป็นชีวิต ที่ทำในพันธกิจ รู้วิธีรับการเจิม จากการเชื่อฟังเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ ใช้เวลาความสัมพันธิ์กับพระวิญญาณในการทำ พันธกิจ และรู้วิธีการรักษา และรู้ว่าควรจะส่งต่อให้ใคร เพราะในพระคัมภีร์สอนว่า อย่ารีบด่วน วางมือใครเจิมใครด้วยเช่นกัน และคนที่เรา จะวางมือส่งต่อ มอบสิทธิอำนาจนั้น

การ เจิม นี่แหละที่เรากล่าวถึง มันรวมไปถึงการเยียวยา ปลดปล่อย รื้อฟื้นความรักจากพระเจ้า แลปลดปล่อยของประทาน แล้วแต่พระวิญญาณจะนำ และที่สำคัญในคริสตจักร เป็นการางมือเจิมเพือรับกำลัง ด้วย การส่งต่อไฟ ของประทาน แต่ควร มีหลักการสำคัญ คือ เราควรเจิม วางมือ คนประเภทแรกคือ ควรวางมือให้กับผู้ที่ประกอบด้วยพระวิญญาณ(กดว.27:18 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงนำโยชูวาบุตรนูนผู้มีพระวิญญาณอยู่ภายในเขามา จงเอามือของเจ้าวางบนเขา) คนประเภทที่สอง ซึ่งอ.เปาโลเตือนเราไม่ให้ด่วนวางมือ จนกว่าเราจะพิสูจน์ คนเหล่านั้นก่อน (1ทธ.5:22 อย่าด่วนเอามือวางเจิมผู้ใด และอย่ามีส่วนร่วมในการกระทำบาปเลย จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ )

ปัจจุบัน มีการประชุมสัมนาพิเศษ มีการวางมือ เพื่อรับการเจิม ผมเข้าใจว่าเป็นการอธิษฐาน เพื่อเยียวยา ปลดปล่อย และระเบิดของประทาน หรือแล้วแต่น้ำพระทัยของพระวิญญาณ ที่จะสัมผัส สำแดงในเวลานั้น เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะผมก็ชอบที่จะรับการอวยพรการเจิมด้วยไฟ จากผู้รับใช้เหล่านี้ ที่พระองค์ทรงโปรดให้มาอวยพรเรา แต่ผมกำลังเตือน น้องๆผู้รับใช้รุ่นไหม่ว่า เราควรทำ ให้ถูกต้อ วาระ กาะเทสะ จะดีแสวยงามที่สุด ในการประชุมแต่ละครั้ง

พวกเรา ที่กำลังพัฒนาเรียนรู้ ฝึกฝนในคริสตจักร ในการทำพันธกิจกับผู้เชื่อ เพราะพวกเรา เมื่อไปร่วมสัมนา หรือเมื่อศิษยาภิบาล นำการสอนการประชุม หลายคนไม่ทำตามคำสั่ง หรือเคลื่อนไปด้วยกัน ทำไมบางคนเที่ยวไปเจิม ส่งต่อส่งไฟ เขาน่าจะรับ เรียนรู้จะแช่ในการทรงสถิต หรือ ฟัง คำสอน ดู เรียนรู้ เพราะวิทยากรก็อยู่ที่นั่นแล้วในวันนั้น เมื่อเขามาเรียน รู้ จับคู่อธิษฐาน วิทยากร สั่ง บอกให้ ทำพันธกิจใน แบบต่างๆเพื่อการพัฒนาทั้งคู่ที่เขาได้จับคู่ และตัวเขาเอง จะได้รับการพัฒนาทั้งคู่ แต่ห่กเขายังคงเน้นจุดเรื่องที่เขาจะทำคือ เจิมอีก ผมเกรงว่า การพัฒนานั้น จะไม่เกิดทั้งคู่ เพราะ สองคนไม่ได้ฝึกในขณะที่มีวิทยากรอยู่ด้วย ผมไม่ได้ตำหนิว่าใครส่วนตัวนะครับ แต่มันเป็นปัญหา ของผู้ที่เคลื่อนในการเรียนรู้ที่จะทำพันธกิจ ในการอธิษฐาน อยากหนุนใจว่า พระเยซูคริสต์เอง ขณะทำพันธกิจ พระองค์ทรง มีการอวยพรเด็กๆ มีการสอน มีการขับผี มีการ รักษาโรค และมีหลายรูปแบบ เช่น สัมผัส เรียก ลาซาลัส ให้ฟื้น เรียกเด็กที่ตายให้ฟื้น พระองค์ไม่ใช่ เจิมๆตลอดเวลา

ผม กล่าวเช่นนี้ เพื่อ ท่านจะได้ทำพันธกิจ ได้กว้างขึ่น มากขึ่น และตรงประเด็น ครับ เมื่อมีคนเชิญท่านไป ทำพันธกิจ หรือ ในคริสตจักร เมื่อมีการให้อธิษฐานเผื่อกัน คนในห้องประชุม มีปัญหา ความต้องการหลากหลาย บางคนตอนนี้ ต้องการการหนุนใจ บางคนต้องการ การเจิมด้วยเช่นกัน บางคน มีบาดแผล ต้องการเยียวยา บางคนต้องการระบาย ความในใจ หรือ หาคู่ที่อยากปลอบใจเขา เราควรทำตามนั้นดีกว่า แต่ที่สำคัญ เราต้องให้เกียรติ ผุ้ที่จัดประชุม ว่า วันนั้น เขาต้องการเน้นเรื่องอะไร ครับ

หากเป็นเช่นนี้ ใครๆก็อยากไห้ท่านอธิษฐานเผื่อ ท่านไม่ต้องวิ่งไปหาใคร คนทั้งหลายจะเสาะหาท่านเอง เพราะคำอธิษฐานของท่าน เจาะจง ตรงประเด็น ตามการทรงนำ และ เห็นผลพิสูทน์ได้ครับ

ที่มา: http://www.james7.org/

Why the loving God send people to Hell?

Peter's Horrible Failure…and Ours

Mark 14:26-31; 66-72
26 And when they had sung a hymn, they went out to the Mount of Olives.
27 Then Jesus said to them, "All of you will be made to stumble because of Me this night, for it is written:
' I will strike the Shepherd,
And the sheep will be scattered.
28 "But after I have been raised, I will go before you to Galilee."
29 Peter said to Him, "Even if all are made to stumble, yet I will not be."
30 Jesus said to him, "Assuredly, I say to you that today, even this night, before the rooster crows twice, you will deny Me three times."
31 But Peter spoke more vehemently, "If I have to die with You, I will not deny You!"
And they all said likewise.
66 Now as Peter was below in the courtyard, one of the servant girls of the high priest came.
67 And when she saw Peter warming himself, she looked at him and said, "You also were with Jesus of Nazareth."
68 But he denied it, saying, "I neither know nor understand what you are saying." And he went out on the porch, and a rooster crowed.
69 And the servant girl saw him again, and began to say to those who stood by, "This is one of them."
70 But he denied it again.


And a little later those who stood by said to Peter again, "Surely you are one of them; for you are a Galilean, and your speech shows it."[a]
71 Then he began to curse and swear, "I do not know this Man of whom you speak!"
72 A second time the rooster crowed. Then Peter called to mind the word that Jesus had said to him, "Before the rooster crows twice, you will deny Me three times." And when he thought about it, he wept.


A lot of people consider Peter to be their favorite disciple; perhaps because he is so human and transparent. Can you think of anything more embarrassing than for our Lord to pick a series of denials in your life and then put them into the record of His Word, allowing centuries of preaching to work over the details of them?


We'll pick up the scene just after Jesus and His disciples had shared their last meal. They concluded their time together by singing a hymn, and then they went off into the night toward the foot of the Mount of Olives, where Gethsemane was situated. Along the way small talk was exchanged between the men, intermingled with words spoken by Jesus. Please note that all four of the writers of the Gospels (Matthew, Mark, Luke, and John) recorded the account of Peter's denial, we have chosen Mark's account for today's lesson.

I. Jesus makes a prediction: "you will fall away" Mark 14:27-28 Jesus supported His prediction with words taken from Zechariah the prophet in Zechariah 13:7, quoting the Father: "I will strike down the shepherd, and the sheep shall be scattered."—-then, Jesus added these words, "After I have been raised, I will go before you into Galilee." Apparently, Peter missed the part of the prediction regarding the resurrection of Christ, as He had been teaching for the past three years. All he heard was, "you will fall away"….The term used here means "to stumble." In other words, Jesus was saying, "Every one of you is going to turn against Me, depart from Me, leave Me; that is, every one of you will."

II. Peter emphatically refutes the prediction with "I will NOT!!" Mark 14:29 He thought that the prediction could be true of his associates, but certainly never for himself. Although Peter eventually did compromise himself, he was sincere at this point of his intent to remain loyal to his Lord, regardless of the consequences (notice verse 31.)

III. Jesus personalizes His prediction: "You will deny Me times" (Mark 14:30) Basically, Christ made two statements here. "You will deny Me this very night." AND "You will deny Me three separate times" The Lord even mentioned the deadline, "before the cock crows twice" The Romans divided their day into three-hour segments. The night segments were termed "watches," and there were four watches altogether. The watches were identified as follows:


i. The Evening Watch: 6:00PM until 9:00PM
ii. Midnight Watch: 9:00PM until Midnight
iii. Cock Crowing Watch: Midnight until 3:00AM
iv. Morning Watch: 3:00AM until 6:00AM


At the end of each watch was the changing of the guard in Jerusalem. The end of the third watch was signaled by the "crowing of the cock"—this was not the sound of a rooster as is commonly held, but rather that of a trumpet sounded twice by the officer of the guard (this was a trumpet blast sent forth in two different directions). Jesus told His confident disciple that he would deny Him three times before the 3:00AM horn blasts would be heard that night. Little did Peter or his companions know—before that night had passed, they would eat their words and deny Christ—all of them, especially Peter.


IV. Peter fulfills the prediction: "I do not know Him." Mark 14:66-71. Signs of Peter's weakening can be seen even before Christ's abuse at the hands of the high priest and his entourage began.
a. While in the Garden: Verses 32-38. Before leaving His disciples to pray, He instructed Peter (plus James and John) to watch and pray. Upon His return, Christ found them asleep three different times. Christ most notably addressed His reproof to the one disciple who vehemently pledged his loyalty. Peter. During His reproof, Christ addressed Peter by his former name, instead of the new one He had given him, which meant "the rock". Christ called him Simon, which means "vacillating one." His sleeping was a sign of something worse yet to come. —— Careful!! If we are quick to criticize Peter, many of us would do even worse!


b. In the courtyard: verse 66-68. It is here the first denial transpired. Soon after the silence of the garden was broken by the arresting mob, Jesus was led away to this particular place where His disgrace began. He was surrounded by the high priest, chief elders, and scribes. Verse 53. Peter observed them accusing Him of blasphemy, spitting on Him, beating Him, and shoving their fists into His face and flesh. He had mingled with officers associated with Christ's abusive treatment who were warming themselves by the fire in the courtyard. From there, Peter could continue watching the horrible nightmare unfold. He was noticed by the high priest's servant girl, who approached him, commenting, "you, too were with Jesus the Nazarene." His face, highlighted in the night by the flames of the fire, had been detected by someone who recognized him. Then came the denial, "I neither know nor understand what you are talking about." He had knowingly broken his earlier pledges of loyalty. Peter lied, and denied Christ.


c. While on the porch. Verse 68b –71. Peter sought safety after that first encounter. He retreated to an adjacent porch, hoping to preserve his anonymity. Here the second and third denials were uttered. Apparently, he as still in sight range of Jesus. The girl wouldn't back off; she kept probing. In the presence of bystanders, she continued, "this is one of them!" Again, Peter denied he knew Christ. The pressure continued as the persistent girl kept on, "surely you are one of them, for you are a Galilean, too!!" His accent had betrayed his identity. He was exposed. This last time, Peter resorted to the common language of the street—he cursed—and swore his denial; "I do not know this man you are talking about."
NOTE: The only thing I find funnier than a true, Southern Accent is a Yankee trying to imitate one! The Southern drawl will give you away every time!!


d. Sudden Occurrences. Verse 72. First, the two-blasted cock crowing was heard. Second, Peter remembered the words of Christ's prediction. Peter wept bitterly. His pain was so severe. He had not…could not keep his word to Christ. He had lied and denied Jesus, his Master and friend.

Painful but Necessary Comparison.
Not a single person can look upon Peter with a judging eye. Though none of us were at the scene in his place, we've been at various scenes of denial that are our own…..at school, at work, in public.
Fearing to appear as spiritual freaks or fanatics, we've kept our mouths shut when it would have been appropriate to talk about Christ and our faith in Him. Many of us betray Christ with our silence. Many of us deny Christ with our words. Either way, we have denied Christ.


But, Peter's story does not end here. After crying bitterly once he realized what he'd done, Peter repented and served Christ wholeheartedly. Peter survived his betrayal because he found forgiveness and restoration in Christ. So can you. I pray you find His peace today.

 

Conclusion:
I was once conducting a meeting with some high school teenagers. I told them that they could ask me any question on any subject, and I would try and answer it. Their questions were typical of ones I had received in similar sessions scores of times before. As the session drew to a close, one girl toward the back, who had not said anything, raised her hand. I nodded, and she said, "The Bible says God loves everybody. Then it says that God sends people to hell. How can a loving God do that?" I gave her my answer, and she came back to me with arguments. I answered her arguments, and she answered my answers. The conversation quickly degenerated into an argument. I did not convince her, nor did she convince me.

After a few more questions I dismissed the session. After the session I approached her and said, "I owe you an apology. I really should not have allowed our discussion to become so argumentative." Then I asked, "May I share something with you?" She said, "Yes." So I took her through a basic presentation of the gospel. When I got to Romans 3:23 and suggested that all of us were sinners she began to cry. It was then that this high school senior admitted she had been having an affair with a married man. The one thing she needed was forgiveness. When I finished the presentation of the gospel, she trusted Christ. The reason she did not believe in hell was because she was going there. In her heart she knew she had sinned. Her conscience condemned her, but rather than face the fact of her guilt, she simply denied any future judgment or future hell. All of us need forgiveness when we fail. God offers just that to you. Right now. You don't have to wait any longer.

You are loved with an everlasting love. God loves you, and has a purpose for your life. Give your life to Him today, won't you? The successes and the failures. He will take them all and bless you in your life. Trust Him today.