หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

พระประสงค์ของพระเจ้า โดย อ.สมศักดิื ชูสงฆ์




AGAPE
13 มีนาคม 2554
คำเทศนา โดย อาจารย์สมศักดิ์ ชูสงฆ์


พระประสงค์ของพระเจ้า

 ลูกา 10: 38-42

38 เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกกำลั
งเดินทางไป
พระองค์จึงทรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่ง
ชื่อมารธาต้อนรับพระองค์ไว้ในเรือนของเธอ

39 มารธามีน้องสาวชื่อมารีย์
และมารีย์ก็นั่งใกล้พระบาทพระเยซูฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วย

40 แต่มารธายุ่งในการปรนนิบัติมาก จึงมาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า
พระองค์ไม่สนพระทัยหรือ
ซึ่งน้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ทำการปรนนิบัติแต่คนเดียว
ขอพระองค์สั่งเขาให้มาช่วยข้าพระองค์"

41 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเธอว่า "มารธา มารธาเอ๋ย
เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก

42 สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว
มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้นใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้ "

 พระประสงค์ของพระเจ้า

1. พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นอันดับ 1
เพราะพระองค์มีชีวิตที่บริสุทธิ์

   "ความสุขจะเป็นของบุคคลที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้น"

2. พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตเหมือนพระเยซู
เมื่อเราติดสนิทกับพระเยซูโดยการอ่านพระคัมภีร์ (Bible) การอธิษฐาน
จะเกิดความไพบูลย์และได้รับผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยอัตโนมัติ

3. พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตที่เกิดผลโดยการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์

4. พระเจ้าต้องการให้เราได้รับพรและเป็นพรต่อผู้อื่น

5. พระเจ้าต้องการให้เราเชื่อฟังพระเยซู เมื่อเราเชื่อฟัง เราจะได้รับพร
(พร 5 ชนิด)



พร 5 ชนิด ( 5Ps )

1. Peace of God

  พระคุณและสันติสุขจะมาสู่เราโดยอัตโนมัติเมื่อเราเชื่อฟัง(ต้อนรับ)พระเยซู

2. Power of God

  ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะรับรองในสิ่งที่เราพูด
ประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู (กิจการ 1: 8)

  "จงมีชีวิตอยู่เพื่อประกาศ ยิ่งประกาศ จะยิ่งได้รับการเปลี่ยนแปลง"

3. Presence of God

   - ถ้าเราอธิษฐาน (pray) พระคำพระเจ้า
เราจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่อยู่ริมน้ำ ชุ่มฉ่ำ และมีความสุข

    - ถ้าเราอธิษฐาน (pray) พระคำพระเจ้า เราจะเหมือนความสว่าง
ไปไหนก็ไม่มีความมืด

4. Provision of God

  มีส่วนกับคนของพระเจ้า อธิษฐานเผื่อเขา

5. Protection of God

  การพิทักษ์รักษาของพระเจ้าเกิดขึ้นเมื่อ...

1)   ถวายสิบลดคืนพระเจ้า

2)  สัตย์ซื่อในการรักษาสัตย์ เช่น การมาโบสถ์
เพราะการมาโบสถ์คือการตั้งใจจะเชื่อฟัง

      คุณจะได้ทุกอย่างนี้ โดยการอ่านพระคัมภีร์ (Bible) พระวาทะ
พระวัจนะของพระเจ้า เพราะความเชื่อเกิดจากการอ่าน การเห็นและการได้ยิน

 การลับต่อพระเจ้าไม่มี :
พระองค์ทรงเห็นทุกอย่างและทรงสัตย์ซื่อในคำสัญญา ถ้าเราทำอย่างสัตย์ซื่อ
พระองค์จะประทานบำเหน็จและพระพรต่อเรา

    " จงยึดพระเจ้า และพระองค์จะยกชูเราให้สูงขึ้น, ยิ่งห่างจากพระเจ้า
เราจะยิ่งตกต่ำลง "

     " พระเจ้าทรงเลือกเราเพื่อร่วมมือและช่วยเราในการปรนนิบัติพระองค์
เราต้องพึ่งพาพระองค์ อย่าทำอะไรด้วยกำลังของตนเอง "


--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

Fwd ลัทธิซาตาน"ในหมู่หนุ่มสาว ระบาด

---------- จดหมายที่ถูกส่งต่อ ----------
จาก: ข่าวคริสตชน <kaochristian.editor@gmail.com>
วันที่: 31 มีนาคม 2554, 20:04
หัวเรื่อง: www.KaoChristian.com วาติกันเผยอินเตอร์เนทแพร่ระบาด"ลัทธิซาตาน"ในหมู่หนุ่มสาว ชี้เดือดร้อน"พระไล่ผีอาชีพ"หนัก
ถึง: "ส่งข่าว christianthai@googlegroups.com" <christianthai@googlegroups.com>


วาติกันเผยอินเตอร์เนทแพร่ระบาด"ลัทธิซาตาน"ในหมู่หนุ่มสาว
ชี้เดือดร้อน"พระไล่ผีอาชีพ"หนัก

วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ว่า คาร์โล คลิมาติ
สมาชิกมหาวิทยาลัยสังกัดวาติกัน
และสมาชิกผู้เชี่ยวชาญด้านอันตรายที่เกิดกับหนุ่มสาวจากลัทธิซาตาน
กล่าวก่อนการประชุมของสำนักวาติกัน ระบุว่า
กระแสสนใจลัทธิซาตานและลัทธิลึกลับทางอินเตอร์เนท
ได้ส่งผลให้พระไล่เป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น
โดยกระแสนิยมในลัทธิฝักใฝ่ซาตานได้เพิ่มมากขึ้นชนิดเกินความคาดหมายอย่าง
อันตรายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา



นายคาร์โลเผยด้วยว่า ตามปกติแล้วในทางทฤษฎี พระใด ๆ
ก็สามารถทำหน้าที่ขับไล่ผีสิงร่างมนุษยได้ แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ปรากฎว่า เนื่องจากเกิดเหตุการณผีสิงมากขึ้น
ทำให้พระท้องถิ่นทั่วไปต้องเรียกพระไล่ผีระดับมืออาชีพมาทำหน้าที่ขับไล่ผี
โดยบุคคลที่ถูกซาตานเข้าเข้าสิง มักจะมีอาการประหลาด เช่น เสียงเปลี่ยน
หรือจู่ ๆ สามารถพูดภาษาอื่นได้ และภาษาที่ฟังเข้าใจยาก
และว่าขณะนี้วาติกันอยู่ในสภาพต้องเฝ้าระวัง
เพราะมีพระอาชีพไล่ผีในจำนวนจำกัด
ขณะที่อินเตอร์เนทได้กลายเป็นแหล่งเพิ่มพูนซาตานขึ้น
เพราะผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิซาตานและลัทธิลึกลับได้มากขึ้น
และอย่างรวดเร็ว



นอกจากนี้ พระระดับสูงองค์หนึ่งระบุด้วยว่า เมื่อปีที่แล้ว
ปีศาจซาตานยังเหิมกร้าวถึงขั้นบุกวาติกัน
ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์โรมันคาธอลิก โดยเข้าสิงบุคคลบางราย
ทำให้เหยื่ออาเจียนออกมาเป็นแก้วและเศษเหล็ก กรีดร้อง น้ำลายไหล
และพูดจาลบหลู่พระเจ้า และต้องถูกควบคุมตัวทางร่างกาย

 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301549164&grpid=03&catid=03

--
หากเรื่องใดอ่านแล้วรู้สึกว่าเนื้อความถูกตัดไปก่อนจบสมบูรณ์ อ่านต่อได้โดยคลิกที่หัวข้อข่าวนั้นๆ
ดูข้อมูลอีกมากมายที่ "ข่าวคริสตชน" www.KaoChristian.com
ศูนย์ข่าวแวดวงคริสตชนทุกคณะนิกาย เสรี
ขณะนี้ยอดสมาชิกรับข่าวรายวัน  8,980 คน / Facebook 5,000 คน

*ส่งข่าว/บทความ/คำติชม มาที่กองบรรณาธิการ  kaochristian.editor@gmail.com  (ดูรายละเอียดของวิธีส่งข้อมูล: คลิก http://groups.google.com/group/christianthai?hl=en)
*สมัครรับข่าวให้ตนเองและผู้อื่น / ยกเลิกข่าว โดยแจ้ง email เหล่านั้นมาที่ email นี้เช่นกัน
*เฟซบุ๊ค:  facebook.com/kaochristian

ข่าวคริสตชนเป็นเวทีเสรีและเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็น
จึงไม่อาจรับผิดชอบต่อความคิดเห็นใด ๆ ของท่านสมาชิก

โปรดสนับสนุนข่าวคริสตชนด้วยการถวายหรือโฆษณา
เพื่อให้สามารถรับใช้ท่านต่อไปได้ (ดูรายละเอียดที่ www.KaoChristian.com )
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนด้วยการถวายและโฆษณาทุกท่าน



--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

ครั้งหนึ่งที่ผมเคยทำเพื่อลูกหลานคริสเตียนไทยในวันคริสต์มาส



พี่น้องชาวคริสต์คงไม่ค่อยมีใครกล้าและบ้าบิ่นแบบผมหรอก คริสเตียนที่เป็นครูก็มีมากมายทั่วประเทศไทย แต่ยังไม่มีใครกล้าทำ    แต่ผมทำไปแล้ว และเก็บไว้หลายปี เพื่อจะบอกชาวคริสต์ว่า ประเทศไทยเขามีระเบียบห้ามโรงเรียนจัดกิจกรรมอะไร ที่ทำให้นักเรียนลาหยุดในวันคริสตมาสไม่ได้แล้ว

ผมสังเกตมาหลายปีว่า ทำไมโรงเรียนรัฐบาลหลายโรงเรียน แม้ว่าจะมีครูที่จบการศึกษาระดับสูง  บางคนเคยเรียนโรงเรียนคริสเตียน แต่ พอเขามาทำงาน เขาไม่เคยคิดถึงวันคริสตมาสเลย พวกเขาจัดสอบวันที่ 25 ธันวาคม มาตลอด ผมมีลูกหลายคน ผมสังเกตมาหลายปี ทนไม่ไหว ส่งจดหมายถึง เจ้านายใหญ่ของกระทรวงศึกษา สำนักการการศึกษาขั้นพื้นฐานเสียเลย

ผลปรากฎว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เป็นต้นมา โรงเรียนในจังหวัดต่างๆ ไม่จัดสอบวันที่ 25 ธันวาคมอีกเลย  ขอบพระคณุ พระเจ้าและ คุณหญิงกษมา ที่ช่วยให้ลูกหลานคริสเตียนได้ไปโบสถ์ในวันคริสต์มาสได้
 
To:
  From: kasamvar@emisc.moe.go.th (kasamvar@emisc.moe.go.th)

Sent:
  Wed 12/03/08 6:30 AM
reewat mu (reewat@hotmail.com)

Re:  ขอความเมตตา  เด็กอยากลาวันคริสต์มาสก็ทำไม่ได้

ส่วนบนของฟอร์ม
เรียน ท่านผู้ปกครอง
ดิฉันได้รับทราบแล้ว ขอขอบคุณที่ส่งข่าวให้ทราบ พร้อมนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีหนังสือถึง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตทุกเขต เรื่อง การอนุญาตให้นักเรียนลาหยุดเพื่อร่วมกิจกรรม วันสำคัญทางศาสนา เพื่อให้แจ้งไปยังสถานศึกษา
ในเขตพื้นที่ทราบและถือปฏิบัติ ตามหนังสือที่ส่งมาด้วยพร้อมนี้
 คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน


----- Original Message -----
จาก: "Reewat Mu"
ถึง: kasamvar@emisc.moe.go.th
ส่ง: วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008, 17 นาฬิกา 43 นาที 35 วินาที
หัวเรื่อง: ขอความเมตตา เด็กอยากลาวันคริสต์มาส ก็ทำไม่ได้

เรื่อง ร้องเรียนโรงเรียนที่มีตารางสอบตรงกับวันที่ 25 ธ.ค.
กราบเรียน คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา
 
            เนื่องจาก กระผมเป็นผู้ปกครองนักเรียนคนหนึ่งที่ได้รับความกดขี่และ ความไม่เป็นธรรมจากทางโรงเรียนรัฐบาลหลายๆ โรงเรียนเป็นเวลาหลายปี สืบเนื่องมา ทั้งที่สิ่งนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร    และตัวกระผมเองไม่มีเจตนา และไม่อยากจะรบกวนท่านเลยแต่ก็จำใจ   จำเป็นต้องกราบเรียนมาเพื่อทราบ เพื่อท่านจะได้รับทราบขอเท็จจริงที่เกิดขึ้นเนืองๆ เสมอมา  กระผมขอสรุปความสั้นๆ ดังนี้
            โรงเรียนรัฐบาลหลายแห่งในจังหวัดxxxอาทิ  โรงเรียนxxxxxวิทยาคม โรงเรียนxxxวิทยาคม   และอาจมีโรงเรียนอื่นๆ อีกหลายโรง ที่กระผมไม่ทราบ หรืออาจมีในจังหวัดอื่นๆ อีกมาก   ได้กระทำการโดยไม่ได้คำนึงถึงการกดขี่ทางด้านศาสนา และส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจแก่ชาวคริสเตียนทั่วไป   ซึ่งในจังหวัดxxx มีประชาชนที่นับถือคริสต์อยู่จำนวนไม่น้อย   นักเรียนรอบนอกส่วนหนึ่งเป็นชาวเขา และชาวบ้านทั่วไปที่นับถือคริสต์ ได้มาเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐบาล   
                      แต่ปรากฏว่า โรงเรียนต่างๆ ได้จัดสอบกลางภาคตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม เกือบทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงสัปดาห์ที่ ต้องมีการจัดการสอบกลางภาคพอดี   ปีนี้โรงเรียนหลายๆ โรงเรียนในจังหวัดxxx อาทิ โรงเรียนxxมัคxxวิทยาคมซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ก็ประกาศออกมาในแผนปฏิบัติงานของโรงเรียนแล้ว ว่าจะจัดสอบในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันคริสต์มาสพอดี

            ทำไมหรือ ?   ท่านครับ   พวกเราชาวคริสเตียนในรอบหนึ่งปี เรามีเพียงวันเดียวที่สำคัญที่สุดทางศาสนาคริสต์   เป็นวันที่พวกเราทุกคนจะต้องไปโบสถ์ และทางคริสตจักรเองมีการจัดวันคริสต์มาสทุกปี การจัดงานก็ไม่ได้จัดสำหรับเด็กๆ ชาวคริสต์เท่านั้นแต่ยังเลี้ยงอาหาร ขนม และทำกิจกรรมต่างๆ   เพื่อให้ความสุขสำหรับเด็กๆ และชุมชนทุกปี แต่ประเทศไทยมีการเอื้อเฟื้อแก่ศาสนาพุทธอย่างมากเนื่องจากคนส่วนใหญ่ของประเทศนับถือพุทธ  

                       มีวันหยุดของทางราชการที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธปีหนึ่งหลายวัน และเด็กๆ ชาวคริสต์ของเราต้องถูกบังคับ ขืนใจให้ไปวัด   ไปทำกิจกรรมต่าง ที่เราไม่อยากทำ ต้องเข้าสวดมนต์ในการอบรมค่ายพุทธบุตร หรืออะไรต่างๆ  และพวกเราก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี เนื่องจากพระเจ้าของเราสอนให้เราเชื่อฟังเจ้านายและผู้มีอำนาจ พวกเราจึงไม่ได้ทำการเดินขบวน หรือประท้วงใดๆเลย  

                        ท่านครับ พวกเราขอพึ่งบารมีของท่าน   หากเป็นไปได้ หากท่านจะแจ้งขอร้องเรียนนี้   ไปยังโรงเรียนต่างๆ ว่าหากฝ่ายวิชาการของโรงเรียนรัฐบาลจะใช้วิจารณญาณสักนิด   ได้โปรดผ่อนผันให้เด็กๆ ชาวคริสต์ที่จะสามารถไปร่วมกิจกรรมวันคริสต์มาส โดยจัดวันสอบไม่ให้ตรงกับวันที่
25 ธันวาคม  เพื่อเด็กชาวคริสเตียนที่เป็นคนไทยเหมือนกัน    จะสามารถลาได้ในวันนี้เพื่อเด็กและครูอาจารย์ที่เป็นชาวคริสต์จะสามารถลาหยุดสักหนึ่งวันเพื่อจะสามารถไปจัดคริสต์มาสร่วมกันอย่างมีความสุข     แทนที่เด็กๆ และครูชาวคริสเตียนจะไม่สามารถลาได้เลยในวันที่ 25 ธันวาคม เพราะมันเป็นวันสอบของโรงเรียน   หากลาก็จะมีความยุ่งยากและปัญหาต่างๆ เกิดแก่ทั้งโรงเรียนและเด็กเอง

            กระผมขอกราบขอบพระคุณท่านที่ได้มีเมตตารับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้น้อยมาตลอด   ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านให้มีความสุข ความเจริญยิ่งๆ ขึ้น อันเนื่องจากกุศลจิตที่ท่านได้มีเมตตาต่อ ชนกลุ่มน้อยที่นับถือพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ของชาวโลก คือพระเยซูคริสต์ เนื่องจากวันคริสต์มาสเป็นวันเกิดของท่าน และปีหนึ่งเราก็มีวันนี้เท่านั้นที่ทุกคนต้องการไปนมัสการพระเจ้าและมีความสุขกัน

            ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ควรมิควรแล้วแต่ท่านจะพิจารณา
ผู้ปกครองนักเรียน
  (Rice Evangelist )

  0873553xxx

มหาตมะคานธีเป็นเกย์

ตะลึง เผยหนังสือชีวประวัติอ้าง "คานธี" เป็นไบเซ็กช่วล ทิ้งภรรยาไปอยู่กับชายคนรัก

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

 "เดลี่ เมล์"รายงานเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ว่า หนังสือชีวประวัติของมหาตมะ
คานธี เขียนโดยโจเซฟ เลวีวัลด์ ชื่อเรื่อง"จิตวิญญาณอันยิ่
งใหญ่:มหาตมะ
คานธี และการต่อสู้เพื่ออินเดีย"ได้ระบุเนื้อหาส่วนหนึ่ง อ้างว่า มหาตมะ
คานธี มีพฤติกรรมเป็นไบเซ็กช่วล
และได้ทิ้งภรรยาไปอยู่กับนักเพาะกล้ามชาวยิวชื่อเฮอร์มาน คัลเลนบัค
ซึ่งถือกำเนิดในเยอรมัน แต่อพยพไปอยุ่แอฟริกาใต้
และกลายเป็นสถาปนิกที่ร่ำรวย

หนังสือชีวประวัติดังกล่าวระบุว่า
คานธีได้ทำงานที่แอฟริกาใต้และได้สนิทสนมกับนายคัลเลนบัค
และทั้งสองได้อยู่ร่วมกันเป็นเวลา 2 ปี ในบ้านที่ฝ่ายหลังสร้างขึ้น
และได้คำมั่นสัญญาแก่กันว่า พวกเขาจะรักกันมากขึ้น
และหวังว่าโลกจะไม่ล่วงรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา และว่า ในวัย 13 ปี
คานธีได้แต่งงานกับหญิงอินเดียนามคาสเตอร์ไบ มาคานจิ วัย 14 ปี
และมีลูกด้วยกัน 4 คน ก่อนจะแยกทางกัน

หนังสือชีวประวัติเล่มนี้ยังระบุว่า
คานธีได้เรียกชื่อตัวเองว่า"สภาสูง"และเรียกนายคัลเลนบัคว่า"สภาล่าง"และได้สัญญากับคนรักชายของเขาว่า
เขาจะไม่มองผู้หญิงอื่นในเชิงกามารมณ์ และเขากล่าวว่า เขาคิดว่า
การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงเป็นเรื่องน่าเกลียด อย่างไรก็ตามในปี
1914 คานธีและคัลเลนบัคก็ต้องแยกทางกัน
เมื่อคานธีกลับไปยังอินเดียบ้านเกิด
โดยเพื่อนชายของเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าอินเดียเพราะอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
และทำให้ทั้งสองต้องติดต่อกันผ่านจดหมาย

นอกจากนี้ คานธียังเขียนจดหมายบอกเล่าความปรารถนาที่ไม่สิ้นสุดของตัวเอง
และขนานนามอดีตภรรยาของเขาว่าเป็นหญิงที่ร้ายที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา
ไม่เพียงเท่านั้น ชีวประวัตินี้ระบุด้วยว่า แม้แต่ในช่วงวัย 70 ปี แล้ว
คานธีได้หลับนอนกับเหลนวัย 17 ปี และผู้หญิงอื่น
แต่เขาพยายามระงับความตื่นเต้นทางอารมณ์ และครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า
อวัยวะเพศของเขาเสื่อมสมรรถภาพ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทั้งแปลกและน่าอับอาย


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301287867&grpid=03&catid=03

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

How God trains His loved ones

The Chicken And The Egg

Whenever trouble comes your way, let it be an opportunity for joy. For when your faith is tested, your endurance has a chance to grow. So let it grow, for when your endurance is fully developed, you will be strong in character and ready for anything (James 1:2-4, NLT).

Dear Friends,

The little boy was so excited as he and his mother waited for signs of life from the chicken egg they hoped would soon hatch.

The mother hen had left the nest, busy caring for other newborn, and they decided they had better put this egg in a box with a light in it, to keep it warm. They waited and waited, and finally they heard the first tiny tap and the chick began to peck on the eggshell to be set free.

The little chick pecked and pushed and pushed and pecked. The little boy felt so sorry for him and wanted to help. It would be so easy to just quickly crack open the shell and let him out. But the mother cautioned him, explaining that it was important for the chick to have to work hard to get out of the shell so that his body would later be strong enough to survive outside the shell. Leaving him alone and letting him work his way out was actually an act of love.

That is the way our heavenly Father feels toward us. He sees the many challenges which we face. And all He would have to do is just speak a word and all our problems and challenges would be solved. But He knows best. He knows that allowing us to work through them, and "peck our way through our challenges," so to speak, will enrich our lives in the long run.

God is in the character-developing business, and our trials help develop us into what he wants us to be.

James refers to this process when he says, "Consider it pure joy, my brothers, whenever you face trials of many kinds, because you know that the testing of your faith develops perseverance. Perseverance must finish its work so that you may be mature and complete, not lacking anything" (1:2-4, NIV).

Peter speaks of the same thing, referring to your "...inheritance that can never perish, spoil or fade -- kept in heaven for you, who through faith are shielded by God's power until the coming of the salvation that is ready to be revealed in the last time. In this you greatly rejoice, though now for a little while you may have had to suffer grief in all kinds of trials. These have come so that your faith -- of greater worth than gold, which perishes even though refined by fire -- may be proved genuine and may result in praise, glory and honor when Jesus Christ is revealed (1 Peter 1:4-7, NIV).

Because of God's loving and benevolent plan and purposes for us, Paul could write, "Give thanks in all circumstances, for this is God's will for you in Christ Jesus" (1 Thessalonians 5:18, NIV).

Yours for helping to fulfill the Great Commission each year until our Lord returns,

Bill Bright



--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

Sitting On Top Of Riches

Sitting On Top Of Riches

So don't be afraid, little flock. For it gives your Father great happiness to give you the Kingdom (Luke 12:32, NLT).

Dear Friends,

During the Depression, a man named Ira Yates was living in poverty, unaware that he was one of the richest men in the world.

He owned a large sheep ranch and due to his poverty was in danger of losing it because he could not afford to pay the interest on his bank loan and his property tax.

One day an oil company gained Mr. Yates' permission to drill a wildcat test well, believing there was a rich reservoir of oil on the property. Soon they discovered the one of the largest oil pools in the world.

Although he was a billionaire, Mr. Yates had lived for years in poverty. The day he purchased the land he received with it all the oil and mineral rights. It was all his, but he didn't know the oil was there, and thus he lived in great need.

I do not know of a better illustration for the Christian. Like Mr. Yates, many Christians are ignorant of their rights and resources and as a result are living in spiritual poverty.

Actually, there are two great tragedies in history: (1) that many have rejected God's Son and all the incalculable riches that accompany our adoption by God through Him; and (2) many have chosen to trust in Christ for their eternal salvation but live a life of poverty, ignorant of their inheritance, in this life and beyond.

Here are a few examples:

"Praise be to the God and Father of our Lord Jesus Christ, who has blessed us in the heavenly realms with every spiritual blessing in Christ" (Ephesians 1:3, NIV).

"I pray also that the eyes of your heart may be enlightened in order that you may know the hope to which he has called you, the riches of his glorious inheritance in the saints" (Ephesians 1:18, NIV).

"Although I am less than the least of all God's people, this grace was given me: to preach to the Gentiles the unsearchable riches of Christ" (Ephesians 3:8, NIV).

"God will meet all your needs according to his glorious riches in Christ Jesus" (Philippians 4:19, NIV).

If you are a believer, don't be like Ira Yates and sit in ignorance on top of your riches in Christ, while living in spiritual poverty! You are a child of the King. "You do not have, because you do not ask God. When you ask, you do not receive, because you ask with wrong motives" (James 4:2-3, NIV).

Yours for helping to fulfill the Great Commission each year until our Lord returns,

Bill Bright


--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

คดีฟ้องเกี่ยวกับ ไม้กางเขน

22 MARCH 2011

ฟาติมาสาร - ในที่สุด ศาลก็สั่งให้ยุโรปแขวนไม้กางเขนได้!! (27 มีนาคม 2011)
Posted by editor@popereport.com on 23:24


ใจจริงแล้ว ผมอยากตั้งชื่อบทความวันนี้ว่า
"ประตูนรกไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้" แต่กลัวว่า
แฟนขาจรที่อ่านชื่อบทความก่อน (ถ้าชื่อน่าสนใจ ค่อยอ่านเนื้อหา)
อาจจะไม่เข้าใจเนื้อหาที่ผมต้องการจะสื่อในวันนี้


หากยังจำได้ ผมเคยเล่าไปหลายครั้งว่า ตอนนี้
ทวีปยุโรปกำลังมีประเด็นคาราคาซังเกี่ยวกับ "ไม้กางเขน"
เรื่องมันมีอยูว่า ค.ศ.2009 "ซอยเล่ ลาอุตซี่" คุณแม่ชาวฟินแลนด์
(แต่แต่งงานกับหนุ่มอิตาเลี่ยน) ได้ส่งลูกน้อย 2
คนเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้ๆกับเมืองเวเนเซีย (เวนิส)
ประเทศอิตาลี ผมไม่แน่ใจว่า โรงเรียนดังกล่าว
บริหารงานโดยบุคลากรของพระศาสนจักรหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ
โรงเรียนแห่งนี้แขวนไม้กางเขนไว้ทุกห้องเรียน
ซึ่งมันสร้างความไม่พอใจและเดือดดาลแบบสุดๆให้กับคุณแม่ลูกสองคนนี้เป็นอย่างมาก

เหตุผลที่ทำให้คุณแม่คนนี้ไม่พอใจและไปต่อว่าผู้อำนวยการโรงเรียนก็คือ
"ฉันและลูกๆ ไม่เชื่อพระเจ้า พวกเราไม่นับถือศาสนาใดๆ
การที่โรงเรียนแขวนไม้กางเขนตามห้องเรียนซึ่งลูกของฉันต้องเข้าไปนั่งในนั้นทุกวัน
มันไม่ต่างไปจากการยัดเยียดและละเมิดสิทธิของคนที่ไม่นับถือศาสนา
รู้ไว้ด้วยว่า ไม้กางเขนกำลังทำลายเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้ที่ไม่นับถือศาสนาชัดๆ"

แม้จะเจอคำต่อว่าเข้าไป ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ตั้งสติและปฏิเสธไปว่า
"เป็นไปไม่ได้ที่เราจะนำไม้กางเขนออกจากฝาผนังห้องเรียน จริงอยู่
การแขวนไม้กางเขนบนฝาผนังไม่ใช่ข้อบังคับในอิตาลี
แต่มันเป็นจารีตประเพณีที่พวกเราทำกันด้วยความเต็มใจและทำมาช้านาน"

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ลูกสองคนนี้ก็ไม่ท้อ
เธอเดินหน้าฟ้องศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปที่เมืองสตราส์บูร์ก ประเทศฝรั่งเศส
หลังจากเธอยื่นคำร้องแล้ว มีรายงานข่าวว่า ศาลค่อนข้างอึ้งกับกรณีแบบนี้
มันเป็นคดีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุโรป
เนื่องจากยุโรปเป็นทวีปที่เติบโตมาจากประวัติศาสตร์คริสตศาสนา คนยุโรป 99
เปอร์เซ็นต์ "ภูมิใจสุดๆ" กับประวัติศาสตร์ของตน
พวกเขาจะเย้ยคนอเมริกันว่า
เป็นพวกไม่มีประวัติศาสตร์และไม่มีรากเหง้าวัฒนธรรม (ดูง่ายๆ
เราไม่ค่อยเห็นคนยุโรปโอนสัญชาติ เพราะเขาภูมิใจกับชาติของตน)
อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ศาลงงก็คือ ไม้กางเขนไม่ได้ทำอะไรผิด ตรงกันข้าม
ไม้กางเขนสอนให้มนุษย์รู้จักรักและให้อภัย (การต่อสู้ในชั้นศาลครั้งนี้
"ซอยเล่ ลาอุตซี่" เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส่วนคนที่เป็นจำเลยคือรัฐบาลอิตาลี)

ปี 2010 ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปได้ทำการตัดสินคดีดังกล่าว ปรากฏว่า "ซอยเล่
ลาอุตซี่" เป็นฝ่ายชนะ เท่ากับว่า จากนี้ไป
ไม้กางเขนจะเป็นสิ่งต้องห้ามในสถานที่สาธารณะทุกแห่งของอิตาลี อาทิ
โรงเรียน, โรงพยาบาล และสถานที่ราชการทุกแห่ง ผลจากการตัดสินครั้งนั้น
ได้สร้างความผิดหวังครั้งใหญ่ให้กับวาติกันและพระสันตะปาปาเป็นอย่างมาก
ผมจำได้เลยว่า พระสันตะปาปาเคยออกมาประณามเรื่องนี้
โดยพระองค์ย้อนถามไปว่า "พระเยซูผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทำผิดอะไร
ทำไมสังคมต้องจ้องทำลายพระองค์ถึงเพียงนี้"

วันเวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี ล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2011
รัฐบาลอิตาลีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปอีกครั้ง ปรากฏว่า
คราวนี้ ทุกอย่างพลิก!
ศาลพิพากษาให้ไม้กางเขนเป็นสิ่งถูกกฏหมายในที่สาธารณะของอิตาลี (มติ 15
ต่อ 2)

ครั้งนี้ ศาลให้เหตุผลว่า "หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
ศาลไม่พบว่า ไม้กางเขนที่ถูกแขวนไว้บนผนังห้องเรียน
จะชี้นำนักเรียนให้มาเป็นคาทอลิก ศาลไม่พบว่า
ไม้กางเขนจะไปทำร้ายสิทธิเสรีภาพของผู้ไม่นับถือศาสนาใดๆ"

เมื่อการพิพากษาออกมาแบบนี้ ครอบครัวลาอุตซี่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า
"พวกเราผิดหวังที่ศาลไม่เคารพสิทธิเสรีภาพและหลักการของสังคมอิตาเลี่ยน"
(แต่ผมว่า สังคมอิตาเลี่ยน
ได้รับการหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมคาทอลิกมาหลายศตวรรษไม่ใช่หรือ)

ทางด้าน "ฟรังโก้ ฟรัตตินี่" รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี
ซึ่งขึ้นศาลเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ไม้กางเขน
ก็ให้สัมภาษณ์ด้วยความยินดีว่า
"นี่คือการตัดสินที่ตั้งอยู่บนสิทธิของพลเมืองอิตาเลี่ยนที่จะปกป้องค่านิยมและเอกลักษณ์ของชาติตัวเอง"

ขณะที่ "คุณพ่อเฟเดริโก้ ลอมบาร์ดี้" ผู้อำนวยการสื่อมวลชนวาติกัน
ก็กล่าวเรื่องนี้ด้วยยินดีว่า
"นี่คือผลการตัดสินที่สำคัญและมีความหมายมากๆต่อประวัติศาสตร์ยุโรป
นี่เป็นคดีที่ยาก
แต่ศาลได้ช่วยปกป้องประวัติศาสตร์ยุโรปซึ่งก่อร่างสร้างตัวจากคริสตศาสนาให้ดำรงสืบไป
เมื่อใดก็ตามที่ยุโรปถูกสั่งห้ามแขวนไม้กางเขน
เมื่อนั้นยุโรปก็สูญเสียเอกลักษณ์แท้จริงของตัวเองไปแล้ว"

เป็นอันว่า ไม้กางเขนไม่ใช่ "ของต้องห้าม" ในสังคมอิตาเลี่ยนอีกต่อไป
กรณีที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์พยายามแสวงหาเสรีภาพแบบเกินเหตุ
บางที ข้ออ้างที่บอกว่า ไม้กางเขนทำลายเสรีภาพของคนไม่นับถือศาสนา
จัดเป็นข้ออ้างที่ไร้น้ำหนักและไร้เหตุผลมากๆ
ไม้กางเขนเป็นเครื่องเตือนใจให้คนทำดีและให้อภัย
ไม่ใช่เครื่องปลุกปั่นให้คนต้องมาสู้รบกัน ดังนั้น
มองไม่เห็นเหตุผลเลยว่า ทำไมเราต้องพยายามกำจัดไม้กางเขนกันขนาดนี้

การพยายามกำจัดไม้กางเขนออกจากสังคม (หรือทำให้กลายเป็นส่วนเกินของสังคม)
กำลังเป็นประเด็นร้อนในทวีปยุโรป นอกจากอิตาลี ก็มี สเปน
ที่รัฐบาลท้องถิ่นในบางแคว้นสั่งห้ามไม่ให้แขวนไม้กางเขนไว้ในห้องเรียน
เพราะละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนที่ไม่ใช่คริสตชน
เรื่องแบบนี้จัดเป็นกรณีที่น่าสนใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า
มันจะไม่เกิดกับเมืองไทยของเราก็แล้วกัน (แต่ถ้าเกิด
ก็ลองใช้เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นกรณีศึกษาก็ได้)

--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

Watch your steps, or distraction

Keep your eyes on me (Judges 7:17, NLT).

Dear Friends,

One morning a farmer told his wife that he was going out to plow the "south forty."

He got off to an early start so he could oil the tractor. He needed more oil, so he went to the shop to get it. On the way to the shop he noticed the pigs weren't fed. So he proceeded to the corn crib, where he found some sacks of feed. The sacks reminded him that his potatoes were sprouting. Then when he started for the potato pit, he passed the woodpile and remembered that his wife wanted wood in the house. As he picked up a few sticks, an ailing chicken passed by. He dropped the wood and picked up the chicken.

When evening arrived, the frustrated farmer had not even gotten to the tractor, let alone to the field.

Have you ever intended to do something you knew was very important, but found yourself in a similar situation -- distracted by many other seemingly important tasks, which kept you from accomplishing your main objective?

Distraction is a common temptation to keep us from doing what is most important. Yes, all these little things may be important, but if we are not careful we will find ourselves drifting aimlessly from one project to another, and ineffective. We need to be focused.

For many years, one of the first things I do every morning is to evaluate all the day's competing demands against a single criterion: How will each opportunity enable me to maximize my contribution to helping fulfill the Great Commission? I prioritize accordingly. Some of the demands go to the top of my list, some down the list, and some get eliminated.

The principal calling on my life is to help fulfill the Great Commission, and by God's grace, He has enabled me to remain focused. A chief characteristic of Campus Crusade for Christ is that we have remained focused and have not allowed ourselves to be diverted along the many possible rabbit trails that have come along to tempt us. This, too, is God's grace and protection, and a main reason the movement has exploded to 196 countries with a full-time staff of more than 27,000 and with up to 550,000 trained volunteers.

Every believer is expected to follow priorities: God first, spouse second, children third, and ministry fourth. Whether as a minister or layperson, God has called all of us to help fulfill the Great Commission.

We all should prioritize our lives in this manner, and stay focused. Then when we are on our way to our "south forty," we will not be distracted by the likes of pigs, wood piles and sick chickens in our lives.

Yours for helping to fulfill the Great Commission each year until our Lord returns,

Bill Bright


--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกความขมขื่นใจ เจ็บแค้น ถูกวิญญาณรบกวน ได้ยินเสียงแว่ว เรียกชื่อ สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับเรื่องตลก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

Fwd: www.KaoChristian.com รัฐมนตรี'คริสเตียน'ปากีสถานถูกสังหารกลางวันแสกๆ


รัฐมนตรี'คริสเตียน'ปากีสถานถูกสังหารกลางวันแสกๆ   (ข่าวย้อนหลัง)

โดย ไซเอด ซาลีม ชาห์ซาด 6 มีนาคม 2554



      (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

      Pakistani minister gunned down
      By Syed Saleem Shahzad
      02/03/2011

      กลุ่มหัวรุนแรงที่มีความเกี่ยวข้องโยงใยกับพวกอัลกออิดะห์
ยิงสังหารโหด ชาห์บาซ ภัตตี
รัฐมนตรีดูแลกิจการชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลกลางปากีสถาน ตอนกลางวันแสกๆ
เมื่อวันพุธ(2)ที่ผ่านมา ใบปลิวที่คนร้ายเหล่านี้ทิ้งเอาไว้ ณ
ที่เกิดเหตุในกรุงอิสลามาบัด ระบุว่า
รัฐมนตรีผู้นี้ซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่เป็นคริสเตียนเพียงคนเดียวของประเทศในปัจจุบัน
ถูกกำจัดเนื่องจากการที่เขาคัดค้านกฎหมายห้ามการดูถูกดูหมิ่นศาสนาฉบับปัจจุบันที่มีเนื้อหาเข้มงวดรุนแรงยิ่ง
โดยกำหนดบทลงโทษถึงขั้นประหารชีวิตต่อผู้ที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดแม้เพียงพูดจาจาบจ้วงศาสนาอิสลาม

      อิสลามาบัด, ปากีสถาน -
พวกหัวรุนแรงที่อยู่ในเครือข่ายของกลุ่มอัลกออิดะห์ ก่อเหตุสังหารโหด
ชาห์บาซ ภัตตี (Shahbaz Bhatti)
รัฐมนตรีดูแลกิจการชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลกลางปากีถสาน ตอนกลางวันแสกๆ
เมื่อวันพุธ(2)ที่ผ่านมา จากนั้นก็อาศัยรถยนต์หลบหนีจากที่เกิดเหตุ

      คนร้ายที่มีอยู่ทั้งสิ้น 4 คนได้ทิ้งใบปลิวเอาไว้ซึ่งระบุว่า
กลุ่ม เตห์ริก-อี-ตอลิบาน ปากีสถาน (Tehrik-e Taliban Pakistan
ใช้อักษรย่อว่า TTP แปลว่ากลุ่มตอลิบานปากีสถาน Pakistani Taliban)
และกลุ่ม ฟิดายัน-อี-อัล-กออิดะห์ (Fidayan-e-al-Qaeda) ทำการสังหารภัตตี
ซึ่งเป็นชาวคริสต์เพียงคนเดียวในคณะรัฐมนตรีเวลานี้
เนื่องจากการที่เขาคัดค้านกฎหมายห้ามการดูถูกดูหมิ่นศาสนาฉบับปัจจุบันที่มีเนื้อหาเข้มงวดรุนแรงยิ่ง
โดยกำหนดบทลงโทษถึงขั้นประหารชีวิตต่อผู้ที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดแม้เพียงพูดจาจาบจ้วงศาสนาอิสลาม

      เอห์ซานุลเลาะห์ อาห์ซัน (Ehsanullah Ahsan) โฆษกของ TTP
ก็ได้โทรศัพท์ถึงสื่อมวลชนต่างๆ ระบุยืนยันว่า
องค์การของเขาเป็นผู้รับผิดชอบการลอบสังหารคราวนี้

      ภัตตีกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรี
เมื่อตอนที่พวกคนร้ายบุกเข้าไปในย่านที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นที่พำนักของชาวต่างประเทศและข้าราชการพลเรือนระดับสูงเสียส่วนใหญ่
กลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้ได้สกัดรถยนต์ของเขาเอาไว้จากนั้นจึงสาดกระสุนเข้าใส่

      การฆ่าโหดคราวนี้บังเกิดขึ้นภายหลังเหตุลอบสังหาร ซัลมัน ตอเซียร์
(Salman Taseer) ผู้ว่าการแคว้นปัญจาบ เมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา
โดยที่ตอเซียร์ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายห้ามการดูถูกดูหมิ่นศาสนาอย่างแข็งขัน
รวมทั้งกำลังรณรงค์เรียกร้องประธานาธิบดี
ให้อภัยโทษแก่แม่บ้านชาวคริสต์ผู้หนึ่งที่ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิตด้วยความผิดฐานพูดจาจาบจ้วงศาสนาอิสลาม
มือสังหารตอเซียร์ที่ชื่อ มาลิก มุมตัซ กอดรี (Malik Mumtaz Qadri )
เป็นหนึ่งในทีมองครักษ์ของผู้ว่าการแคว้นปัญจาบเอง
เขาให้การรับสารภาพอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
ที่สังหารตอเซียร์ก็สืบเนื่องจากการที่เขามาวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายฉบับดังกล่าวนั่นเอง

      ภัตตี เป็นหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรชนกลุ่มน้อยทั่วประเทศปากีสถาน
(All Pakistan Minorities Alliance)
เขาแถลงในตอนที่เขายอมรับตำแหน่งนี้ว่า ต้องการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของ
"ผู้ที่ถูกกดขี่, ถูกเหยียบย่ำ, และไร้อำนาจวาสนา" ของปากีสถาน
และเขาต้องการอุทิศชีวิตของเขาให้แก่
"การต่อสู้เพื่อความเสมอภาคเท่าเทียมกันของมนุษย์, ความยุติธรรมของสังคม,
เสรีภาพทางศาสนา,
และเพื่อปรับปรุงยกระดับและเพื่อกระจายอำนาจให้แก่บรรดาชุมชนชนกลุ่มน้อยทางศาสนา"

      ภายหลังที่ตอเซียร์ถูกสังหารไปแล้ว
พวกหน่วยข่าวกรองได้เตือนว่าอาจจะมีการเล่นงานภัตตี ตลอดจน เชอร์รี
เราะห์มาน (Sherry Rahman) สมาชิกรัฐสภาที่เคยเป็นรัฐมนตรีข่าวสาร
ทั้งนี้ ตอเซียร์, ภัตตี, และเราะห์มาน
ได้ร่วมมือกันนำพาภาคส่วนของสังคมที่เป็นฝ่ายเสรีนิยม
ออกรณรงค์สร้างกระแสประชามติคัดค้านกฎหมายห้ามการดูถูกดูหมิ่นศาสนา
ซึ่งพวกเขาขนานนามว่าเป็น "กฎหมายสีดำ"
เราะห์มานยังได้ยื่นเสนอร่างกฎหมายสู่รัฐสภาเพื่อขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายฉบับนี้อีกด้วย

      รัฐบาลปากีสถานนั้นได้ใช้ท่าทีถอยห่างแยกตัวเองจากบุคคลทั้ง 3
โดยสิ้นเชิง และยิ่งหลังจากตอเซียร์ถูกลอบสังหารแล้ว
ก็ยิ่งแถลงประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า
จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ใดๆ ทั้งสิ้น

      ทว่า ภัตตี กับ เราะห์มาน ก็ยังคงออกมาพูดกับสาธารณชนต่อไปอีก
และบัดนี้รัฐมนตรีผู้นี้ก็มาถูกสังหารโหดไปอีกคนหนึ่ง

      พวกหัวรุนแรงแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า
พวกเขาตั้งใจที่จะทำลายข้อตกลงหยุดยิงซึ่งมีเนื้อหาระบุว่าพวกเขาจะไม่เข้าโจมตีเมืองใหญ่ๆ
ทั้งหลายของปากีสถาน
และทางเจ้าหน้าที่ความมั่นคงก็แสดงความหวาดวิตกว่าจะมีกิจกรรมก่อการร้ายขนาดใหญ่เกิดขึ้นในปีนี้
ในเมื่อพวกหัวรุนแรงได้กลับมารวมกลุ่มกันใหม่ในหลายๆ
บริเวณของเขตพื้นที่ชาวชนเผ่า ตลอดจนในตัวเมืองใหญ่ๆ ของแคว้นไคเบอร์
ปัคตูนควา (Khyber Pakhtoonkhwa)
หลังจากที่พวกเขาต้องล่าถอยกระจายกำลังออกไปในปีที่แล้ว อันที่จริง
ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เมืองมัรดัน (Mardan) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ
กับกรุงอิสลามาบัด
ก็เผชิญกับการโจมตีอย่างอุกอาจชนิดเป็นข่าวเกรียวกราวอย่างน้อยที่สุด 3
ครั้งแล้ว เป็นต้นว่า การโจมตีโรงเรียนหญิงแห่งหนึ่งเมื่อวันอังคาร(1)

      สำหรับเหตุลอบสังหารรัฐมตรีภัตตีนั้น
พวกคนร้ายมีการวางแผนการกันอย่างรอบรอบ ทั้งนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
พวกหัวรุนแรงเหล่านี้ได้มาสำรวจพื้นที่, สืบทราบตารางเวลากำหนดการของเขา,
จัดพิมพ์ใบปลิวประกาศความรับผิดชอบเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า,
และสามารถผ่านเข้าผ่านออกย่านซึ่งถือกันว่ามีการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี
โดยที่พวกเขาไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย
สภาพเช่นนี้ย่อมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า
พวกหัวรุนแรงเหล่านี้กำลังมีสมรรถนะเพิ่มมากขึ้นในการเข้าโจมตีเป้าหมายใดๆ
ก็ตามที่ต้องการ
แม้กระทั่งเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลมีการรักษาความปลอดภัยอย่างดีที่สุด

      เหตุการณ์คราวนี้ยังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับรากเหง้าทางอุดมการณ์ของการใช้ความรุนแรงในปากีสถานอีกด้วย
ถึงแม้ฝ่ายรัฐบาลประสบความสำเร็จในการออกปฏิบัติการทางทหารในเขตสวัต
(Swat), เซาท์วาซิริสถาน (South Waziristan), และพื้นที่ชาวชนเผ่าอื่นๆ
ทว่าก็ยังไม่สามารถที่จะถอนรากถอนโคนพวกหัวรุนแรง

      จนกว่าจะมีการอภิปรายถกแถลงกันในเชิงอุดมการณ์อย่างมีเหตุมีผลและเปิดกว้างนั่นแหละ
จึงจะสามารถสร้างความพ่ายแพ้ให้แก่ประดาข้อโต้แย้งของพวกหัวรุนแรงด้วยสำนวนภาษาแบบของคนเหล่านี้เองด้วย
ไม่เช่นนั้นแล้ว
แนวความคิดว่าด้วยการสร้างความมั่นคงปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ขึ้นมาในสังคมปากีสถาน
ก็จะยังคงเป็นแต่เพียงความฝันอันห่างไกลต่อไป

      ไซเอด ซาลีม ชาห์ซาด
เป็นหัวหน้าโต๊ะปากีสถานของเอเชียไทมส์ออนไลน์
เขาเป็นผู้เขียนหนังสือที่กำลังจะออกจำหน่ายในเร็วๆ นี้ซึ่งใช้ชื่อ
Inside Al-Qaeda and the Taliban 9/11 and Beyond จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์
Pluto Press สหราชอาณาจักร สำหรับที่อยู่ทางอีเมล์ของเขาคือ
saleem_shahzad2002@yahoo.com

--

---------- จดหมายที่ถูกส่งต่อ ----------
จาก: ข่าวคริสตชน <kaochristian.editor@gmail.com>
วันที่: 19 มีนาคม 2554, 9:46
หัวเรื่อง: www.KaoChristian.com รัฐมนตรี'คริสเตียน'ปากีสถานถูกสังหารกลางวันแสกๆ
ถึง: "ส่งข่าว christianthai@googlegroups.com" christianthai@googlegroups.com

.............................................................................--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

หมอบรัดเลย์ บิดาแห่งหนังสือพิมพ์ไทย _ บทความเนื่องในวันหนังสือพิมพ์แห่งชาติ


หมอบรัดเลย์ บิดาแห่งหนังสือพิมพ์ไทย _
บทความเนื่องในวันหนังสือพิมพ์แห่งชาติ (5 มีนา 2554)

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2554   คมชัดลึก คอลัมภ์กระจกเงา:

เมื่อต้นแผ่นดินรัชกาลที่ 3 มีกัปตันฝรั่งอังกฤษนายหนึ่ง
ถือปืนไปเที่ยวเล่นที่บ้านพวกมิชชันนารี
แล้วอุตริแวะวัดเกาะยิงนกพิราบเล่น โดยยิงนกพิราบตายไป 2 ตัว
ปืนกังวานไปทั้งวัด ขณะที่พระวัดเกาะกำลังสวดมนต์เย็นอยู่ในโบสถ์

 พระทั้งหลายเหล่านี้จึงได้กรูกันออกจากโบสถ์มาช่วยกันรุมตีและกระทืบกัปตันฝรั่งอังกฤษนายนี้อาการถึงปางตาย

 แต่ว่าโชคก็ยังดีที่ได้มิชชันนารีอเมริกันหนุ่มหนึ่งเข้ามาเยียวยารักษาอาการไว้ได้ทัน
กัปตันฝรั่งอังกฤษถึงได้รอดตายมาได้ และเรื่องไม่บานปลายออกไป
กลุ่มพระสงฆ์นักบู๊ของไทยถูกทัณฑกรรม เพียงแค่ให้นั่งตากแดดครึ่งวัน
เรื่องก็จบลงด้วยดี

 มิชชันนารีอเมริกันผู้นี้คือ หมอบรัดเลย์
ที่เพิ่งจะมาถึงเมืองไทยและกรุงเทพฯ ครั้งแรกในวัย 30 ปีเศษ
อันเป็นปีแรกในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3

 วิลเลียม บรัดเลย์ หรือว่า "ปลัดเลย์"
ของคนไทยคือหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันที่เดินทางเข้ามาเมืองไทยได้ปีเดียว
ก็พูดภาษาไทยได้โดยเรียนรู้จากครูสอนภาษาไทย และชาวบ้านคนไทยผู้เป็นคนไข้
คนกรุงเทพฯ สมัยนั้นต่างรู้จัก หมอบรัดเลย์ดี
ฝรั่งที่กางร่มถือกระเป๋ายาและใส่หมวกทรงสูงรักษาคนเจ็บป่วยฟรี
และสอนคริสต์ศาสนาไปด้วย

 หมอบรัดเลย์ เริ่มพิมพ์ใบสอนศาสนาเป็นภาษาไทยก่อน หลังจากนั้นอีกเกือบ
10 ปีต่อมาถึงได้ออกหนังสือพิมพ์ภาษาไทยขึ้นเป็นฉบับแรกในโลก

 บางกอกรีคอเดอร์ คือ หนังสือพิมพ์ภาษาไทยฉบับแรกที่เป็นรายปักษ์
ซึ่งหมอบรัดเลย์ได้ซื้อทั้งแท่นพิมพ์กับตัวหล่อภาษาไทยมาจากสิงคโปร์
ตีพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ.2387 สมัยรัชกาลที่ 3 โดยมี หมอบรัดเลย์
เป็นทั้งบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นักข่าว และนักเขียน
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้มีอายุอยู่นานถึง 1 ปี 3 เดือน

 เหตุที่หนังสือพิมพ์ต้องหยุดออกปิดตัวก็เพราะเมียหมอบรัดเลย์ตาย
หมอจึงจำต้องพาลูกชาย หญิงเล็กๆ กลับสหรัฐอเมริกาไปนานถึง 5 ปี
ถึงได้กลับมากรุงเทพฯ ใหม่ พร้อมกับเมียใหม่
และคิดออกหนังสือพิมพ์ใหม่อีกครั้ง

 บางกอกรีคอเดอร์
ฉบับภาษาไทยครั้งนี้ออกในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
4 ที่ห่างจากครั้งแรกนานถึง 21 ปี และหมอบรัดเลย์ตอนนี้ก็มีอายุเข้า 60
ปีเศษแล้ว

 หนังสือพิมพ์ยุคใหม่ของหมอบรัดเลย์นี้
ได้สั่งแท่นพิมพ์จากสหรัฐอเมริกาเข้ามาโดยตรง
หลังจากที่ได้ปฏิรูปตัวเรียงหล่อภาษาไทยขึ้นใหม่ในสิงคโปร์ก่อน
บางกอกรีคอเดอร์ในยุคนี้จึงสง่างามทั้งในการจัดหน้า เข้าหน้า
และการใช้เส้นสาย ตลอดไปจนถึงความคงทนของกระดาษพิมพ์

 ไม่เชื่อก็ไปหาดูที่หอสมุดแห่งชาติทุกวันนี้กันได้ครับ

 ในยุคปลายรัชกาลที่ 4 หมอบรัดเลย์ได้ชื่อว่าเป็น "ราชาหนังสือพิมพ์"
ในเมืองไทย เพราะเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์รายต่างๆ
กันทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษรวม 4-5 ฉบับ
ตั้งอาณาจักรโรงพิมพ์อยู่ที่ละแวกปากคลองบางหลวง

 คุณูปการที่หมอบรัดเลย์ได้สร้างเอาไว้สำหรับสังคมไทย
โดยนวัตกรรมอย่างหนังสือพิมพ์ในขณะนั้น เมื่อกว่าศตวรรษครึ่งมาแล้ว
ก็คือเป็นสะพานสายแรกแห่งถนนข่าวสารในการเชื่อมโลกของสังคมไทยกับตะวันตกให้ได้รับรู้ซึ่งกันและกัน
มีนับตั้งแต่เรื่องการปกครองอย่างประชาธิปไตยจนถึงเรื่องการเศรษฐกิจค้าขาย
อย่างเรือเดินทะเลเข้าออกและการแลกเปลี่ยนเงินตรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาชนไทยได้รู้ข่าวคราวจากโลกภายนอกและเทคโนโลยีใหม่ก็จากหนังสือพิมพ์ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษของ
หมอบรัดเลย์ นี้

 หมอบรัดเลย์ คนจากเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา คือนักหนังสือพิมพ์ไทยผู้มาก่อนใครอื่น

 ผมเป็นนักเรียนเก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ต้องเรียนเรื่องของ หมอบรัดเลย์
ก็ขอรำลึกนึกถึง หมอบรัดเลย์ ครับ แม้ว่าวันนักข่าว วันที่ 5 มีนาคมนั้น
ได้ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม
---------- จดหมายที่ถูกส่งต่อ ----------
จาก: ข่าวคริสตชน <kaochristian.editor@gmail.com>
วันที่: 19 มีนาคม 2554, 10:31
หัวเรื่อง: www.KaoChristian.com หมอบรัดเลย์ บิดาแห่งหนังสือพิมพ์ไทย _ บทความเนื่องในวันหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
ถึง: "ส่งข่าว christianthai@googlegroups.com" christianthai@googlegroups.com


--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

พิธีกรรมไล่ผี มีอยู่ทั่วโลก Fwd: www.KaoChristian.com

กรรมไล่ผี มีอยู่ทั่วโลก

แต่ถ้าพูดกันถึงผีจริงๆ  ต้องขอพาออกนอกประเทศกันหน่อยค่ะ
คราวนี้พาท่านผู้อ่านไปที่ประเทศเฮติ  ซึ่งจะว่าไปแล้วระยะหลังๆนี้
เฮติก็เกิดเรื่องราวมากมายนะคะ ไหนจะธรณีพิโรธ  ตามมาด้วยโรคระบาด
โดยเฉพาะอหิวาตกโรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกันมากในหลักหลายพันคน
และป่วยอีกหลายหมื่น
ก็เลยเกิดเป็นข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่ชาวบ้านตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ว่า ไอ้โรคร้ายทั้งหลายนี่แหละ เกิดมาจากผี หรือถ้าไม่ใช่ผีจริงๆ
ก็ต้องเป็นหมอผีที่ทำพิธีมนตร์ดำแบบวูดู และด้วยความเชื่อนี้
ก็เลยเกิดการล่าผี รวมถึงล่าหมอผีกัน เพื่อหวังจะขจัดโรคร้าย
จนเกิดการฆ่ากันตายไปหลายศพ เรียกว่าหากมองหน้าแล้วคิดว่าใครเลี้ยงผี
ก็ไม่พูดพรํ่าทำเพลงกันล่ะค่ะ จัดการไล่ผีซะ
ด้วยการฆ่ามันเสียก่อนที่มันจะฆ่าเรา ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลกุมขมับ

จากเรื่องที่เกิดในเฮติ หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นประเทศไม่เจริญ
ก็เลยเชื่อเรื่องผีๆสางๆกันง่ายๆ
แต่ประเทศที่เจริญแล้วก็ไม่ใช่ย่อยหรอกค่ะ  ในสหรัฐอเมริกาเอง
ก็มีคนเชื่อเรื่องผี  และมีกลุ่มนักไล่ผีที่ทำงานกันเป็นอาชีพทีเดียว

การไล่ผีของพวกฝรั่ง  มักจะอาศัยคัมภีร์ไบเบิล ไม้กางเขน
และคำสวดมนต์เป็นหลัก  หรือบางทีก็อาจมีน้ำมนต์เข้ามาช่วยด้วย
เวลาที่ฝรั่งเจอผี  บางคนที่เชื่อมั่นในนักบวช
ก็จะเรียนเชิญพระสงฆ์มาช่วยทำพิธีให้  แต่คนที่ไม่ค่อยไว้ใจพระ
ก็ไปจ้างผู้ประกอบการที่เปิดบริษัทไล่ล่าผีมาจัดการ
และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่า
หนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของบริษัทจัดการผีก็คือ  นักร้องชื่อดังแห่งยุค
เลดี้ กาก้า ที่เชื่อว่ามีวิญญาณคอยตามรังควานเธอ
สาวเจ้าก็เลยจ้างคนมาคอยไล่ผีในทุกๆที่ที่เธอเดินทางไป เรียกว่า
ถ้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ หรือคนสำคัญคนอื่นๆ
ก่อนจะไปไหนต้องส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยไปดูสถานที่ล่วงหน้า
แต่ถ้าเป็นเลดี้ กาก้า หน่วยที่ต้องไปตั้งหลักก่อนคือหน่วยไล่ผีค่ะ


หน่วยไล่ผีของเลดี้ กาก้า นอกจากจะทำการสวดมนต์
หรือทำอะไรในแบบดั้งเดิมต่างๆแล้ว ยังใช้ วิทยาศาสตร์เข้าช่วยด้วย
โดยมีการใช้เครื่องตรวจจับวิญญาณด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
หรือเครื่องมือแบบอื่นๆมาช่วย ก็ไม่รู้ว่างานนี้เลดี้   กาก้า
จะปลอดภัยจากผีที่คอยตามหลอกหลอนเธอได้จริงๆ
หรือว่าจะถูกหลอกเพราะคนที่มาช่วยไล่ผีกันแน่ ก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป

แต่ นอกจากผีที่มาตามหลอกหลอนแล้ว ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ผีสิง
หรือผีเข้า  ซึ่งถ้าเป็นในบ้านเรา ก็เห็นกันบ่อยๆ บางคนก็บอกว่าของจริง
แต่คนที่ไม่เชื่อก็บอกว่า อุปาทาน
ก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนแล้วล่ะค่ะ เรื่องแบบนี้จะเชื่อหรือไม่
ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละท่าน ส่วนด้านโลกตะวันตก ก็มีเรื่องแบบนี้เหมือนกัน
ฝรั่งเองก็มีเรื่องราวในทำนองคนถูกผีเข้า ผีสิงกันเยอะเหมือนกัน
ทำให้บาทหลวงในหลายๆพื้นที่
โดยเฉพาะแถบชนบทจะต้องออกโรงไปช่วยไล่ผีกันบ่อยๆ
แต่ก็อย่างที่บอกแหละค่ะว่า พิธีไล่ผีของฝรั่งมักจะไม่ค่อยตื่นเต้นมาก
เพราะอุปกรณ์ไม่เยอะ

แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่การไล่ผีเกิดเป็นเรื่อง รุนแรง เช่น
มีการกักขังคนที่ถูกผีเข้า การเฆี่ยนตี ซึ่งบางครั้ง
บทสรุปก็ไปจบลงที่โรงพยาบาลโรคจิต กลายเป็นเรื่องน่าสงสารไป
รวมไปถึงบางกรณีที่รุนแรงถึงตาย
และบาทหลวงหลายท่านถูกดำเนินคดีในฐานฆาตกรรม ซึ่งบางท่านก็แก้ต่างไม่หลุด
 แต่ก็มีบางท่าน
ที่แม้สำนักสงฆ์ระดับสูงยังออกมารับรองว่าไม่ใช่ฆาตกง...ฆาตกรรมอะไรกันหรอก
 แต่เหยื่อที่เสียชีวิตเป็นเพราะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
และบาทหลวงท่านเอาไม่อยู่ต่างหาก

สำหรับกรณีการไล่ผีที่ขึ้นชื่อว่า เป็นเรื่องโด่งดังที่สุดในโลก
เห็นทีจะเป็นชีวิตจริงของอันเนลีส มิเชล  (Anneliese Michel)
สาวน้อยชาวเยอรมันผู้เคร่งในศาสนา  แต่ต่อมาเธอก็มีอาการเหมือนถูกผีสิง
จนต้องอัญเชิญบาทหลวง 2  ท่านมาช่วยทำพิธีให้
แต่ระหว่างการไล่ผีที่เกิดขึ้นหลายสิบครั้ง  เธอก็ทนไม่ไหว
ตายจากไปเสียก่อนในตอนที่อายุเพียง 23 ปี
และได้เปลี่ยนจากเด็กสาวหน้าตาสะสวย เป็นหน้าตาสยดสยอง
กลายเป็นเรื่องครึกโครม และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Exorcism
of  Emily Rose ซึ่งในภาพยนตร์ ได้เปลี่ยนชื่อตัวเอกของเรื่องเสียใหม่
ทำให้หลายๆคนเข้าใจผิดไปเหมือนกันว่า Emily Rose เป็นชื่อจริงของเธอ


หมุนโลกไปอีกด้าน ทางฟากกาฬทวีป มีรายงานจากองค์การสหประชาชาติว่า
ในแอฟริกันนั้น มีคนเชื่อเรื่องผีสางอยู่มากทีเดียว และแม้โลกจะพัฒนาขึ้น
 แต่ความเชื่อเรื่องผีของคนแอฟริกันก็ไม่ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และคนที่ถูกอ้างว่าผีเข้ามักจะเป็นเด็กที่มีปัญหา เช่น เด็กพิการ
เด็กเร่ร่อน ซึ่งพอถูกจับได้
ก็จะมีการนำหมอผีมาไล่ผีด้วยวิธีการน่าตกใจทีเดียว เช่น
กรอกน้ำมันปลุกเสกเข้าไปในลูกตา หรือหูของเด็ก
รวมถึงการบังคับให้กินของปลุกเสกแปลกๆเพื่อไล่ผี ไล่ความชั่วในตัวออกไป
ซึ่งไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า สามารถไล่ผีได้จริงหรือไม่
แต่ในมุมมองของฝรั่งก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ และเป็นการทำร้ายกัน
แต่ก็คงต้องยอมรับด้วยว่า ความเชื่อ
และวัฒนธรรมของแต่ละสถานที่ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามความเชื่อที่สืบเนื่องกัน
มานาน อาจจะเป็นศตวรรษ หรือสหัสวรรษ

ที่ว่านานขนาดนั้นก็เพราะมีหลักฐานที่สามารถย้อนไปไกลได้ถึงยุคสุเม
เรียนอันเก่าแก่เลยทีเดียวค่ะ อันว่าชาวสุเมเรียนนี้เก่าขนาดที่ว่า
เป็นพวกแรกๆที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถวๆเมโสโปเตเมีย เมื่อ 4,000 ปีก่อน
คริสตกาลเลยทีเดียวนะคะ ชนกลุ่มนี้มีอารยธรรมสูงค่ะ
สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆได้มากมาย ทั้งวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ
จนบางคนบอกว่า  พวกเขาได้ความรู้ต่างๆมาจากผู้ส่งสารผ่านดาวอันไกลโพ้นนู่น...

แต่ เก่งแค่ไหน ชาวสุเมเรียนก็ "ตาขาว" เหมือนเราๆนี่แหละค่ะ คือกลัวผี
ดังนั้น  ในขณะที่เหล่านักคิด นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคโนโลยี
และถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ในอีกด้านหนึ่ง
ก็มีนักบวชที่ต้องศึกษาเรื่องการไล่ผีอย่างจริงจัง
และมีชาวบ้านจำนวนมากทีเดียว
ที่มาขอร้องเหล่านักบวชให้ช่วยไปปราบผีให้หน่อย
โดยเฉพาะผีที่ชอบมาสิงสู่ผู้คน ซึ่งชาวสุเมเรียนเชื่อว่า คนที่อ่อนแอนั้น
 ผีจะเข้าสิงได้ง่าย เวลาใครเจ็บป่วย หรือมีอาการผิดประหลาดไป
ก็เลยต้องตามนักบวชมาจัดการ ซึ่งนักบวชสุเมเรียนก็ใช้วิธีง่ายๆค่ะ
คือสวดมนต์ไล่ผี และมีหลักฐานสืบต่อมาจนปัจจุบันว่า มีคาถาไล่ผีอยู่
หลายบทที่นักบวชสุเมเรียนต้องท่องให้ได้ เพื่อช่วยขจัดผีร้ายให้ประชาชน

เห็น ไหมละคะ เรื่องแบบนี้มีมานานหลายพันปีแล้ว
และน่าจะมีอยู่ต่อไปอีกหลายพันปี
หากคนเราไม่ขนเอาอาวุธนิวเคลียร์มาล้างโลกกันเสียก่อน "คาถาไล่ผี"
ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น และถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น
วัฒนธรรมสู่อารยธรรมกันต่อไป แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยก็เถอะ

ด้าน วาติกันเอง แม้ว่าบาทหลวงในคริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จะใช้บทสวดจากไบเบิล
 แต่ก็มีบทสวดมากมาย จนเมื่อ ค.ศ.1998
ก็ได้มีการสังคายนาคาถาไล่ผีอย่างเป็นทางการ
โดยเฉพาะกับตำราปราบผีชื่อดังเล่มหนึ่งคือ  De  Exorcismis et
Supplicationibus Quibusdam หรือการสวดเพื่อไล่ผี บทสวดยาว 84 หน้า
ที่บาทหลวงจำนวนมากใช้เป็น "อาวุธ" หนักในการปราบผี
และยังมีการแต่งตั้งบาทหลวงผู้มีหน้าที่ไล่ผีอย่างเป็นทางการ
ซึ่งได้ออกสืบสวนกรณีผีสิงต่างๆ และประกาศว่า หลายเรื่องเป็นเรื่องจริง


ไม่เพียงเท่านั้น คนสำคัญที่สุดของวาติกัน คือ
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เอง ก็มีรายงานว่า
พระองค์ให้ความสำคัญกับกิจกรรมไล่ผีของบาทหลวงต่างๆมาก
ส่วนพระสันตะปาปาพระองค์ก่อน คือ จอห์น ปอลที่ 2 นั้น ก็มีรายงานว่า
พระองค์เคยช่วยทำพิธีไล่ผีให้ผู้ที่มาร้องขอด้วย
แต่เป็นการกระทำแบบลับๆ<br /><br />ส่วน
ที่เปิดเผยอย่างชัดแจ้งเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้
คือเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกาว่า
รายงานหลวงพ่อโธมัส ปาปรอกคิ (Thomas  Paprocki)
บาทหลวงระดับบิชอปแห่งบัลติมอร์ได้รวบรวมพระในนิกายคาทอลิกมาร่วมกันศึกษา
 และสอนวิธีไล่ผีกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะในระยะหลังนี้
แม้วิทยาการจะมากขึ้น แต่ความ
ต้องการของอเมริกันชนในการอัญเชิญบาทหลวงไปช่วยไล่ผีก็มีมากขึ้นเป็นเงาตาม
ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ<

<p><br />ส่วนท่านผู้อ่านที่อยากรู้ว่า ฝรั่งเขาไล่ผีกันอย่างไร
เหมือนหมอผีของไทยหรือเปล่า หรือว่าจะ โหดกว่านั้น
ตอนนี้มีหนังดีวีดีสยองขวัญเรื่อง The Last Exorcism หรือ "นรกเฮี้ยน"
ซึ่งในเนื้อเรื่องมีทั้งการถูกผีเข้า และพิธีกรรมการไล่ผี
ให้ผู้ชมได้เห็นว่าผีฝรั่งเขาปราบกันอย่างนี้นี่เอง

ทีมงาน ต่วย'ตูน



---------- จดหมายที่ถูกส่งต่อ ----------
จาก: ข่าวคริสตชน <kaochristian.editor@gmail.com>
วันที่: 19 มีนาคม 2554, 10:59
หัวเรื่อง: www.KaoChristian.com พิธีกรรมไล่ผี มีอยู่ทั่วโลก
ถึง: "ส่งข่าว christianthai@googlegroups.com" <christianthai@googlegroups.com>


ไทยรัฐออนไลน์โดย ทีมงานต่วย'ตูน
23 มกราคม 2554,

http://www.thairath.co.th/content/life/153658

--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

พิธีกรรมไล่ผี มีอยู่ทั่วโลก Fwd: www.KaoChristian.com

---------- จดหมายที่ถูกส่งต่อ ----------
จาก: ข่าวคริสตชน <kaochristian.editor@gmail.com>
วันที่: 19 มีนาคม 2554, 10:59
หัวเรื่อง: www.KaoChristian.com พิธีกรรมไล่ผี มีอยู่ทั่วโลก
ถึง: "ส่งข่าว christianthai@googlegroups.com" <christianthai@googlegroups.com>


พิธีกรรมไล่ผี มีอยู่ทั่วโลก

แต่ถ้าพูดกันถึงผีจริงๆ  ต้องขอพาออกนอกประเทศกันหน่อยค่ะ
คราวนี้พาท่านผู้อ่านไปที่ประเทศเฮติ  ซึ่งจะว่าไปแล้วระยะหลังๆนี้
เฮติก็เกิดเรื่องราวมากมายนะคะ ไหนจะธรณีพิโรธ  ตามมาด้วยโรคระบาด
โดยเฉพาะอหิวาตกโรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกันมากในหลักหลายพันคน
และป่วยอีกหลายหมื่น
ก็เลยเกิดเป็นข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่ชาวบ้านตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ว่า ไอ้โรคร้ายทั้งหลายนี่แหละ เกิดมาจากผี หรือถ้าไม่ใช่ผีจริงๆ
ก็ต้องเป็นหมอผีที่ทำพิธีมนตร์ดำแบบวูดู และด้วยความเชื่อนี้
ก็เลยเกิดการล่าผี รวมถึงล่าหมอผีกัน เพื่อหวังจะขจัดโรคร้าย
จนเกิดการฆ่ากันตายไปหลายศพ เรียกว่าหากมองหน้าแล้วคิดว่าใครเลี้ยงผี
ก็ไม่พูดพรํ่าทำเพลงกันล่ะค่ะ จัดการไล่ผีซะ
ด้วยการฆ่ามันเสียก่อนที่มันจะฆ่าเรา ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลกุมขมับ

จากเรื่องที่เกิดในเฮติ หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นประเทศไม่เจริญ
ก็เลยเชื่อเรื่องผีๆสางๆกันง่ายๆ
แต่ประเทศที่เจริญแล้วก็ไม่ใช่ย่อยหรอกค่ะ  ในสหรัฐอเมริกาเอง
ก็มีคนเชื่อเรื่องผี  และมีกลุ่มนักไล่ผีที่ทำงานกันเป็นอาชีพทีเดียว

การไล่ผีของพวกฝรั่ง  มักจะอาศัยคัมภีร์ไบเบิล ไม้กางเขน
และคำสวดมนต์เป็นหลัก  หรือบางทีก็อาจมีน้ำมนต์เข้ามาช่วยด้วย
เวลาที่ฝรั่งเจอผี  บางคนที่เชื่อมั่นในนักบวช
ก็จะเรียนเชิญพระสงฆ์มาช่วยทำพิธีให้  แต่คนที่ไม่ค่อยไว้ใจพระ
ก็ไปจ้างผู้ประกอบการที่เปิดบริษัทไล่ล่าผีมาจัดการ
และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่า
หนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของบริษัทจัดการผีก็คือ  นักร้องชื่อดังแห่งยุค
เลดี้ กาก้า ที่เชื่อว่ามีวิญญาณคอยตามรังควานเธอ
สาวเจ้าก็เลยจ้างคนมาคอยไล่ผีในทุกๆที่ที่เธอเดินทางไป เรียกว่า
ถ้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ หรือคนสำคัญคนอื่นๆ
ก่อนจะไปไหนต้องส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยไปดูสถานที่ล่วงหน้า
แต่ถ้าเป็นเลดี้ กาก้า หน่วยที่ต้องไปตั้งหลักก่อนคือหน่วยไล่ผีค่ะ


หน่วยไล่ผีของเลดี้ กาก้า นอกจากจะทำการสวดมนต์
หรือทำอะไรในแบบดั้งเดิมต่างๆแล้ว ยังใช้ วิทยาศาสตร์เข้าช่วยด้วย
โดยมีการใช้เครื่องตรวจจับวิญญาณด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
หรือเครื่องมือแบบอื่นๆมาช่วย ก็ไม่รู้ว่างานนี้เลดี้   กาก้า
จะปลอดภัยจากผีที่คอยตามหลอกหลอนเธอได้จริงๆ
หรือว่าจะถูกหลอกเพราะคนที่มาช่วยไล่ผีกันแน่ ก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป

แต่ นอกจากผีที่มาตามหลอกหลอนแล้ว ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ผีสิง
หรือผีเข้า  ซึ่งถ้าเป็นในบ้านเรา ก็เห็นกันบ่อยๆ บางคนก็บอกว่าของจริง
แต่คนที่ไม่เชื่อก็บอกว่า อุปาทาน
ก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนแล้วล่ะค่ะ เรื่องแบบนี้จะเชื่อหรือไม่
ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละท่าน ส่วนด้านโลกตะวันตก ก็มีเรื่องแบบนี้เหมือนกัน
ฝรั่งเองก็มีเรื่องราวในทำนองคนถูกผีเข้า ผีสิงกันเยอะเหมือนกัน
ทำให้บาทหลวงในหลายๆพื้นที่
โดยเฉพาะแถบชนบทจะต้องออกโรงไปช่วยไล่ผีกันบ่อยๆ
แต่ก็อย่างที่บอกแหละค่ะว่า พิธีไล่ผีของฝรั่งมักจะไม่ค่อยตื่นเต้นมาก
เพราะอุปกรณ์ไม่เยอะ

แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่การไล่ผีเกิดเป็นเรื่อง รุนแรง เช่น
มีการกักขังคนที่ถูกผีเข้า การเฆี่ยนตี ซึ่งบางครั้ง
บทสรุปก็ไปจบลงที่โรงพยาบาลโรคจิต กลายเป็นเรื่องน่าสงสารไป
รวมไปถึงบางกรณีที่รุนแรงถึงตาย
และบาทหลวงหลายท่านถูกดำเนินคดีในฐานฆาตกรรม ซึ่งบางท่านก็แก้ต่างไม่หลุด
 แต่ก็มีบางท่าน
ที่แม้สำนักสงฆ์ระดับสูงยังออกมารับรองว่าไม่ใช่ฆาตกง...ฆาตกรรมอะไรกันหรอก
 แต่เหยื่อที่เสียชีวิตเป็นเพราะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
และบาทหลวงท่านเอาไม่อยู่ต่างหาก

สำหรับกรณีการไล่ผีที่ขึ้นชื่อว่า เป็นเรื่องโด่งดังที่สุดในโลก
เห็นทีจะเป็นชีวิตจริงของอันเนลีส มิเชล  (Anneliese Michel)
สาวน้อยชาวเยอรมันผู้เคร่งในศาสนา  แต่ต่อมาเธอก็มีอาการเหมือนถูกผีสิง
จนต้องอัญเชิญบาทหลวง 2  ท่านมาช่วยทำพิธีให้
แต่ระหว่างการไล่ผีที่เกิดขึ้นหลายสิบครั้ง  เธอก็ทนไม่ไหว
ตายจากไปเสียก่อนในตอนที่อายุเพียง 23 ปี
และได้เปลี่ยนจากเด็กสาวหน้าตาสะสวย เป็นหน้าตาสยดสยอง
กลายเป็นเรื่องครึกโครม และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Exorcism
of  Emily Rose ซึ่งในภาพยนตร์ ได้เปลี่ยนชื่อตัวเอกของเรื่องเสียใหม่
ทำให้หลายๆคนเข้าใจผิดไปเหมือนกันว่า Emily Rose เป็นชื่อจริงของเธอ


หมุนโลกไปอีกด้าน ทางฟากกาฬทวีป มีรายงานจากองค์การสหประชาชาติว่า
ในแอฟริกันนั้น มีคนเชื่อเรื่องผีสางอยู่มากทีเดียว และแม้โลกจะพัฒนาขึ้น
 แต่ความเชื่อเรื่องผีของคนแอฟริกันก็ไม่ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และคนที่ถูกอ้างว่าผีเข้ามักจะเป็นเด็กที่มีปัญหา เช่น เด็กพิการ
เด็กเร่ร่อน ซึ่งพอถูกจับได้
ก็จะมีการนำหมอผีมาไล่ผีด้วยวิธีการน่าตกใจทีเดียว เช่น
กรอกน้ำมันปลุกเสกเข้าไปในลูกตา หรือหูของเด็ก
รวมถึงการบังคับให้กินของปลุกเสกแปลกๆเพื่อไล่ผี ไล่ความชั่วในตัวออกไป
ซึ่งไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า สามารถไล่ผีได้จริงหรือไม่
แต่ในมุมมองของฝรั่งก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ และเป็นการทำร้ายกัน
แต่ก็คงต้องยอมรับด้วยว่า ความเชื่อ
และวัฒนธรรมของแต่ละสถานที่ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามความเชื่อที่สืบเนื่องกัน
มานาน อาจจะเป็นศตวรรษ หรือสหัสวรรษ

ที่ว่านานขนาดนั้นก็เพราะมีหลักฐานที่สามารถย้อนไปไกลได้ถึงยุคสุเม
เรียนอันเก่าแก่เลยทีเดียวค่ะ อันว่าชาวสุเมเรียนนี้เก่าขนาดที่ว่า
เป็นพวกแรกๆที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถวๆเมโสโปเตเมีย เมื่อ 4,000 ปีก่อน
คริสตกาลเลยทีเดียวนะคะ ชนกลุ่มนี้มีอารยธรรมสูงค่ะ
สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆได้มากมาย ทั้งวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ
จนบางคนบอกว่า  พวกเขาได้ความรู้ต่างๆมาจากผู้ส่งสารผ่านดาวอันไกลโพ้นนู่น...

แต่ เก่งแค่ไหน ชาวสุเมเรียนก็ "ตาขาว" เหมือนเราๆนี่แหละค่ะ คือกลัวผี
ดังนั้น  ในขณะที่เหล่านักคิด นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคโนโลยี
และถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ในอีกด้านหนึ่ง
ก็มีนักบวชที่ต้องศึกษาเรื่องการไล่ผีอย่างจริงจัง
และมีชาวบ้านจำนวนมากทีเดียว
ที่มาขอร้องเหล่านักบวชให้ช่วยไปปราบผีให้หน่อย
โดยเฉพาะผีที่ชอบมาสิงสู่ผู้คน ซึ่งชาวสุเมเรียนเชื่อว่า คนที่อ่อนแอนั้น
 ผีจะเข้าสิงได้ง่าย เวลาใครเจ็บป่วย หรือมีอาการผิดประหลาดไป
ก็เลยต้องตามนักบวชมาจัดการ ซึ่งนักบวชสุเมเรียนก็ใช้วิธีง่ายๆค่ะ
คือสวดมนต์ไล่ผี และมีหลักฐานสืบต่อมาจนปัจจุบันว่า มีคาถาไล่ผีอยู่
หลายบทที่นักบวชสุเมเรียนต้องท่องให้ได้ เพื่อช่วยขจัดผีร้ายให้ประชาชน

เห็น ไหมละคะ เรื่องแบบนี้มีมานานหลายพันปีแล้ว
และน่าจะมีอยู่ต่อไปอีกหลายพันปี
หากคนเราไม่ขนเอาอาวุธนิวเคลียร์มาล้างโลกกันเสียก่อน "คาถาไล่ผี"
ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น และถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น
วัฒนธรรมสู่อารยธรรมกันต่อไป แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยก็เถอะ

ด้าน วาติกันเอง แม้ว่าบาทหลวงในคริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จะใช้บทสวดจากไบเบิล
 แต่ก็มีบทสวดมากมาย จนเมื่อ ค.ศ.1998
ก็ได้มีการสังคายนาคาถาไล่ผีอย่างเป็นทางการ
โดยเฉพาะกับตำราปราบผีชื่อดังเล่มหนึ่งคือ  De  Exorcismis et
Supplicationibus Quibusdam หรือการสวดเพื่อไล่ผี บทสวดยาว 84 หน้า
ที่บาทหลวงจำนวนมากใช้เป็น "อาวุธ" หนักในการปราบผี
และยังมีการแต่งตั้งบาทหลวงผู้มีหน้าที่ไล่ผีอย่างเป็นทางการ
ซึ่งได้ออกสืบสวนกรณีผีสิงต่างๆ และประกาศว่า หลายเรื่องเป็นเรื่องจริง


ไม่เพียงเท่านั้น คนสำคัญที่สุดของวาติกัน คือ
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เอง ก็มีรายงานว่า
พระองค์ให้ความสำคัญกับกิจกรรมไล่ผีของบาทหลวงต่างๆมาก
ส่วนพระสันตะปาปาพระองค์ก่อน คือ จอห์น ปอลที่ 2 นั้น ก็มีรายงานว่า
พระองค์เคยช่วยทำพิธีไล่ผีให้ผู้ที่มาร้องขอด้วย
แต่เป็นการกระทำแบบลับๆ<br /><br />ส่วน
ที่เปิดเผยอย่างชัดแจ้งเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้
คือเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกาว่า
รายงานหลวงพ่อโธมัส ปาปรอกคิ (Thomas  Paprocki)
บาทหลวงระดับบิชอปแห่งบัลติมอร์ได้รวบรวมพระในนิกายคาทอลิกมาร่วมกันศึกษา
 และสอนวิธีไล่ผีกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะในระยะหลังนี้
แม้วิทยาการจะมากขึ้น แต่ความ
ต้องการของอเมริกันชนในการอัญเชิญบาทหลวงไปช่วยไล่ผีก็มีมากขึ้นเป็นเงาตาม
ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ<

<p><br />ส่วนท่านผู้อ่านที่อยากรู้ว่า ฝรั่งเขาไล่ผีกันอย่างไร
เหมือนหมอผีของไทยหรือเปล่า หรือว่าจะ โหดกว่านั้น
ตอนนี้มีหนังดีวีดีสยองขวัญเรื่อง The Last Exorcism หรือ "นรกเฮี้ยน"
ซึ่งในเนื้อเรื่องมีทั้งการถูกผีเข้า และพิธีกรรมการไล่ผี
ให้ผู้ชมได้เห็นว่าผีฝรั่งเขาปราบกันอย่างนี้นี่เอง

ทีมงาน ต่วย'ตูน



ไทยรัฐออนไลน์โดย ทีมงานต่วย'ตูน
23 มกราคม 2554,

http://www.thairath.co.th/content/life/153658

--
เรื่องใดเนื้อความถูกตัดไปก่อนจบสมบูรณ์ อ่านต่อได้โดยคลิกที่หัวข้อข่าวนั้น
ดูข้อมูลอีกมากมายที่ "ข่าวคริสตชน" www.KaoChristian.com
ศูนย์ข่าวแวดวงคริสตชนทุกคณะนิกาย เสรี
ขณะนี้ยอดสมาชิกรับข่าวรายวัน  8,950 คน / Facebook 5,000 คน

*ส่งข่าว/บทความ/คำติชม มาที่กองบรรณาธิการ  kaochristian.editor@gmail.com  (ดูรายละเอียดของวิธีส่งข้อมูล: คลิก http://groups.google.com/group/christianthai?hl=en)
*สมัครรับข่าวให้ตนเองและผู้อื่น / ยกเลิกข่าว โดยแจ้ง email เหล่านั้นมาที่ email นี้เช่นกัน
*เฟซบุ๊ค:  facebook.com/kaochristian

ข่าวคริสตชนเป็นเวทีเสรีและเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็น
จึงไม่อาจรับผิดชอบต่อความคิดเห็นใด ๆ ของท่านสมาชิก

โปรดสนับสนุนข่าวคริสตชนด้วยการถวายหรือโฆษณา
เพื่อให้สามารถรับใช้ท่านต่อไปได้ (ดูรายละเอียดที่ www.KaoChristian.com )
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนด้วยการถวายและโฆษณาทุกท่าน



--
นอกจากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์แล้ว ผมยังทำกิจกรรมพิเศษ คืออธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วยที่รักษายาก หรือเป็นๆ หายๆ อาการหนักไหล่ หนักหลัง ปวดทุกชนิด ขับวิญญาณ ช่วยปลดปล่อยคนออกจากความกลัว อาการทางจิตที่ติดตัว อาการถูกวิญญาณรบกวน สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนกับการโกหก หากท่านสนใจเรื่องนี้ลองอ่านบันทึกกิจกรรม และความคิดเห็น ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ 

My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown causes, or powers. 

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

Jesus is the only living God.


Never  Thought of This
   
  
Jesus died over 2000 years ago.
 Nobody has  ever referred to him as the late Jesus,
 Not even the heathens.
 Nowhere in  history.
 Nowhere  has He EVER been referred to in past tense!
 He is the  Living God!
 97% OF YOU  WON'T FORWARD THIS MESSAGE,
 When Jesus  died on the cross He was thinking of you!
 If you are  one of the 3% who will stand up for Him, forward  this.
  
  
"May God  Smile at You Today
 

A forward mail from my friend
--
My ministry is to help people who are suffering from serious sickness, incurable diseases and many other problems caused by unseen unknown powers.

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

Why Christians need to be baptised?


Baptism: The Clear Teaching of Scripture

Charles F. Stanley

Matthew 3:13-17

I. What is baptism? How and when should it be performed? Christians answer these questions in different ways, in part because of denominational differences. I don’t know what your tradition teaches you, but I’d like to look at what the Bible says about the role of baptism in the life of a believer. Through the inerrant and infallible Word of God, we know what the Father expects of us concerning this ordinance.

II. The Baptism of Jesus (Matt. 3:15-17)

A. His baptism was required “to fulfill all righteousness” (v. 15), even though He was sinless.

B. It was a means for Jesus to identify with sinful man as He prepared for His ministry.

C. Baptism symbolized His death, burial, and resurrection.

D. After Jesus was baptized, the “heavens were opened” and the Father expressed His approval of His Son (vv. 16-17).

III. Baptism is not equivalent to salvation.

A. Baptism is included in the Great Commission: we are to “make disciples of all nations, baptizing them in the name of the Father and the Son and the Holy Spirit” (Matt. 28:19).

B. However, the Word of God makes it clear that a person’s sins are forgiven based on belief in Christ rather than through baptism.

1. The Ethiopian eunuch’s baptism (Acts 8:35-37)

2. Paul’s teaching about grace (Eph. 2:8-9)

3. The jailer’s conversion (Acts 16:31)

4. The plan of salvation (Rom. 10:9)

5. The thief on the cross (Luke 23:42-43)

IV. Who should be baptized?

A. Only those who have been saved by grace through faith in Jesus should be baptized.

B. Infant baptism is not scriptural, since babies cannot make a conscious choice to believe in Jesus for salvation. It also can give false assurance of salvation to those who have never made a personal commitment to follow Christ.

V. How should we be baptized?

A. Baptizo, the Greek word we translate as baptize, means “to immerse.” It was used in Jesus’ day to describe the action of a ship sinking, a cloth being dipped in dye, or someone being submerged under water. It symbolizes the death, burial, and resurrection of our Lord in a way that sprinkling or pouring does not (see Rom. 6:4).

B. If you aren’t baptized by immersion, will you spend eternity separated from God? No, not if you have received Christ as your Savior. But unless you are dying or have other health reasons that prohibit immersion, you should seek to be baptized according to the example of Scripture.

VI. Six Reasons Why Every Believer Should Be Baptized

Baptism is . . .

A. A command from Jesus. He told the apostles to make disciples and baptize them (Matt. 28:19).

B. A public confession of our faith. In other words, don’t be afraid to tell others about your relationship to Jesus Christ (Mark 8:38; see also Ps. 107:2).

C. A picture of salvation. Through baptism, we illustrate death to our old way of living—and a new beginning in Christ (see John 3:3).

D. An identification with the body of Christ. Baptism is a symbol that unites us with all believers worldwide, regardless of denomination (1 Cor. 12:13; Eph. 4:5).

E. A tangible way to declare that you follow Christ. Commemorating your decision to follow Christ is a good reminder to you and others of this important step.

F. A declaration of belief in the death, burial, and resurrection of Christ. Baptism also illustrates the promise that at the end of time, every believer will be resurrected and live forever in His presence (Rom. 6:4-5).

VII. Conclusion:

Have you ever been baptized according to Scripture? Maybe you can’t answer yes because you’ve never put your trust in Jesus Christ. Confess that He is Lord and ask Him to forgive your sins. As soon as possible, you should find a way to participate in this ordinance of God.

Perhaps you received Jesus as Savior long ago but were never immersed as a testimony of your new life. If so, I pray that you will obey what God has commanded in His Word. Baptism is an experience ordained by our loving heavenly Father—one that you won’t regret or forget.

Copyright 2010 In Touch Ministries, Inc. All rights reserved. www.intouch.org. In Touch grants permission to print for personal use only.

Source: http://www.intouch.org/resources/this-weeks-sermon-outline