หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

The Power of prayer-พลังแห่งการอธิษฐาน Cindy Jacobs. No.1

บันทึกย่อจากหนังสือ บุกยึดประตูเมืองศัตรู ของซินดี้ เจคอบซ์

ซินดี้เจคอบซ์ได้กล่าวถึงพลังในการอธิษฐานของคริสเตียนไว้อย่างน่าคิดดังนี้

1. การอธิษฐานเปรียบเหมือนการรวมพลังในการเติมน้ำให้เต็มขวด เติมไปเรื่อยๆ ถึงเวลาหนึ่งขวดน้ำก็เต็ม เมื่อการอธิษฐานถึงจุดเต็มตามที่พระเจ้าต้องการ การอัศจรรย์ก็เกิด การปลดปล่อยก็เกิด

2. การร่วมใจกันอธิษฐานมีผลต่อการเกิดผลของการอธิษฐาน การอธิษฐานของแต่ละคนเปรียบเหมือนกับเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในวงออเคสตร้า ที่เครื่องดนตรีแต่ละชนิดเปล่งเสียงออกมากพร้อมๆ กันกลายเป็นบทเพลงที่ไพเราะ

3. การอธิษฐานที่เกิดผลต้องอาศัยพลังในการอธิษฐานมากน้อย ต่างกันที่การต่อสู้

    หมายความว่าการต่อสู้ยิ่งยาก ป้อมปราการศัตรูยิ่งแข็งแกร่งเราต้องอธิษฐานมาก และเสียสละทุ่มเทในการอธิษฐานมาก คริสตจักรที่ไม่อธิษฐาน คือคริสตจักรที่ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อชุมชน  เป็นเพียงศาสนสถานสำหรับพักผ่อนใจเท่านั้น ซาตานไม่สนใจเพราะยังไงทหารป่วยมันก็รบไม่ได้อยู่แล้ว แถบไม่พอยังเป็นตัวถ่วงไม่ให้สามารถรุกไปข้างหน้า

4. ระดับการทะลุทะลวงของคำอธิษฐาน
   แน่นอนคำอธิษฐานของผู้ที่ติดสนิทกับพระเจ้า หรือเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเจิม กับผู้ปกครองที่อธิษฐานบ้างไม่อธิษฐานบ้าง ความรุนแรงในการทะลุทะลวงกำแพงของศัตรูย่อมแตกต่างกัน
   - การอธิษฐานเกี่ยวข้องกับระดับการเจิมฝ่ายวิญญาณ กรณีเอลียาห์กับ เอลีชา การเจิมเป็นสองเท่า
   - การอธิษฐานมีพลังร่วมกับการถือศีลอด  มัทธิว 17.21 สาวกของพระเยซูประหลาดใจที่ไม่สามารถขับผีบางชนิดออกได้ พระเยซูได้สอนไว้ว่า... “แต่ผีชนิดนี้ไม่เคยถูกขับออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร”
   - ความร้อนรนในการอธิษฐาน  บางคนอธิษฐานเสียงอยู่ในลำคอ บางคนอายที่จะอธิษฐาน  บางคนอธิษฐานเพื่ออวดถ้อยคำเริดหรูที่คัดสรรเขียนมาอย่างดี  กับการอธิษฐานที่แผดเสียงและร้อนใจอย่างที่สุด  คำอธิษฐานแบบใดที่ผู้อธิษฐานคาดหวังคำตอบจากพระเจ้ามากที่สุด
   - ความถี่ในการอธิษฐาน   คนยิวอธิษฐานวันละ 5 ครั้ง  ดาเนียลอธิษฐานทั้งเช้า ทั้งเย็น ทั้งกลางวัน
และเขายังถืออดด้วย ความถี่ในการอธิษฐานเปรียบเหมือนฆ้อนปอนด์ที่ทุบลงไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่
เมื่อผู้ใช้ฆ้อนตอกย้ำลงไป ครั้งแรกๆ แน่นอนทีเดียวกันยังทนอยู่ได้ แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ ตอกฆ้อนไปเรื่อยไม่ช้าหินก้อนใหญ่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้แน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

หากคริสตจักรต้องการฟื้นฟู

หากคริสตจักรของท่านต้องการการฟื้นฟูฝ่ายจิตวิญญาณ

1. ติดต่อที่อยู่ตามอีเมล์ที่อยู่หัวบล๊อค
2. วางแผนการฟื้นฟูกำหนดเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 เดือน
3. รณรงค์ หนุนใจพี่น้องให้ร่วมใจกันอธิษฐาน จัดทีมอธิษฐานด้วยการอธิษฐานวิงวอน การถืออด
4. ทีมงานจะเดินทางไปจัดสัมมนา สอน หรือหนุนใจด้วยพระวจนะแก่คริสตจักรที่สนใจ
5. จัดการฟื้นฟู
6. คริสตจักรจัดสอนพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบ และติดตามผมพี่้น้องเพื่อจัดการอบรมอย่างต่อเนื่อง

หมายเหตุ
ในการเชิญไปฟื้นฟู หรือไปร่วมฟื้นฟู หากเป็นการจัดภายในท่านจะได้รับการสนับสนุนไม่มากนัก
แต่หากท่านจัดฟื้นฟู ให้มีคนเข้าร่วมตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ท่านจะได้รับการช่วยเหลือค่าอาหารว่างด้วย

ท่านไม่ต้องจ่ายค่าป่วยการ ค่าน้ำมันหรือใส่ซองถวายใดๆ แก่ผู้เทศนาและทีมงานแต่อย่างใด
ทางทีมงานยินดีถวายสมทบในส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการฟื้นฟูด้วยส่วนหนึ่ง

หากท่านต้องการให้เรารับใช้

หากคริสตจักรของท่านต้องการให้เราร่วมรับใช้ในพันธกิจการประกาศข่าวประเสริฐ

1. ติดต่อตามอีเมล์ที่อยู่ด้านบนของบล๊อคเพื่อวางแผนร่วมกัน
2. ลงทุนด้วยการอธิษฐาน แสวงหาการสนับสนุนของพระเจ้า
3. จัดทีมงาน วางแผนการจัดการประกาศกับคนในละแวกบ้าน
4. จัดทีมอธิษฐานเผื่องานประกาศ จัดกล่องถวายทรัพย์เพื่อจัดหาทุน
5. วางแผนการประกาศร่วมกับทีมของเรา
6. กำหนดวันเวลาการประกาศ ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เืดือน เพื่อเราจะมีเวลาอธิษฐานร่วมกัน
7. วางแผนติดตามผู้รับเชื่อ คริสตจักรที่สมาชิกไม่พร้อมหากมีคนมาเชื่อก็มาตายผอมเพราะไม่มีพี่เลี้ยง หรือเลี้ยงไม่เป็น
8. จัดการประกาศอย่างกล้าหาญ
9. ติดตามเลี้ยงดูผู้เชื่ออย่างเป็นระบบ

สิ่งที่ท่านจะได้รับการสนับสนุน

เนื่องจากทีมงานของเราไม่มีนายทุนต่างประเทศให้การสนับสนุน แต่เราทำด้วยใจรัก
หากท่านจะประกาศ ท่านต้องลงทุนส่วนหนึ่งและเราจะสนับสนุนแก่ท่านส่วนหนึ่ง คือ

1. เครื่องไฟ เวที  เครื่องขยายเสียงที่เหมาะกับสภาพและจำนวนผู้ที่คาดว่าจะเข้าร่วมงาน
2. ค่าจ้างผู้เทศนาไม่ต้องจ่าย หรือซองขาว หรือถวายพิเศษใดๆ เราจะไม่รับจากท่าน
3. ค่าเดินทางและค่าป่วยการของทีมประกาศท่านไม่ต้องจ่าย
4. ค่าไปปลิว ในการประชาสัมพันธ์งาน

สิ่งทีท่านต้องลงทุน และได้รับ
1. คริสตจักรของท่านต้องมีใจร้อนรนในการประกาศ
2. คริสตจักรของท่านต้องมีนักอธิษฐานวิงวอน และเสียสละเพื่อการอธิษฐาน
3. คริสตจักรของท่านต้องมีความสามัคคีปองดองในการร่วมใจกันประกาศ
4. ผลที่ได้รับจากการประกาศทั้งหมดคือผลงานของท่าน
5. การช่วยเหลือติดตามในการประกาศครั้งต่อๆ ไป

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ความเป็นมาของพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ภาคภาษาไทย

ข้อควรรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล

Bible มาจากคำว่า Biblia ซึ่งเป็นภาษาละตินและภาษากรีก หมายถึง หนังสือหลายเล่ม เป็นคัมภีร์ที่ชาวคริสต์ถือว่าเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ โดยมีความเชื่อว่า เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสผ่านมนุษย์ด้วยวิธีการดลใจให้บุคคลต่างๆ บันทึกขึ้นเพื่อเปิดเผยรหัสธรรมเกี่ยวกับพระเจ้า ความเป็นมาของโลกและมนุษย์ รวมถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต เพื่อให้มนุษย์ได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าอีกครั้ง
คัมภีร์ไบเบิลแบ่งออกเป็นสองภาค คือ ภาคพันธสัญญาเดิม มีทั้งหมด ๓๙ เล่ม (นิกายคาทอลิกมีภาคอธิกธรรมเพิ่มอีก ๗ เล่ม) บันทึกด้วยภาษาฮีบรู เป็นเรื่องราวตั้งแต่สมัยการสร้างโลก ประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอล สุภาษิต เพลงสดุดี และคำพยากรณ์เกี่ยวกับการมาถึงของพระผู้ไถ่และวันพิพากษาโลก และ ภาคพันธสัญญาใหม่ มี ๒๗ เล่ม บันทึกด้วยภาษากรีกแบบคอยเนีย เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติของพระเยซู กิจการของอัครทูตและบรรดาจดหมายของสาวกของพระเยซู รวมถึงหนังสือวิวรณ์ซึ่งเป็นเล่มสุดท้าย เมื่อรวมทั้งสองภาคแล้วจะเป็นหนังสือถึง ๖๖ เล่ม

ความเป็นมาของคัมภีร์ไบเบิล
เชื่อกันว่าคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิม ได้รับการบันทึกขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ ๑,๔๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นหนังสือที่ว่าด้วยกฎหมายซึ่งชาวยิวเรียกว่า “โตราห์ (Torah)” หรือหนังสือห้าเล่ม (Pentateuch) ประกอบด้วยปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี และเฉลยธรรมบัญญัติ ซึ่งชาวยิวและชาวคริสต์ยุคแรกเชื่อว่า โมเสส (Moses) เป็นผู้บันทึกขึ้น ครั้นต่อมาในปลายศตวรรษที่ ๑๘ ได้มีการศึกษาวิเคราะห์จนเป็นที่ยอมรับกันว่า หนังสือห้าเล่มนี้เกิดจากการนำเอาข้อเขียนสี่ชิ้นมารวมกัน ได้รับการบันทึกไว้ต่างเวลาและต่างสถานที่ โดยบันทึกขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ ๙ ก่อนคริสตศักราช เนื้อหาต่างๆ ได้รับการถ่ายทอดเป็นมุขปาฐะมาจากยุคของโมเสส และเป็นการปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นประเพณีที่อ้างอำนาจของโมเสสเป็นผู้กำหนด  

พระคัมภีร์เดิมนอกเหนือจากโตราห์ ตั้งแต่โยชูวา จนถึงมาลาคี ได้รับการบันทึกขึ้นโดย บุคคลสามกลุ่มด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มปุโรหิต เป็นตระกูลที่มีเชื้อสายของอาโรน พี่ชายของโมเสส มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา เป็นผู้สอน ดูแลวิหาร ดูแลการเขียนและการคัดลอกพระคัมภีร์ กลุ่มผู้เผยวจนะ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง มีหน้าที่เขียนบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ รวมถึงการพูดและบันทึกสิ่งที่พระเจ้าตรัส และกลุ่มนักปราชญ์ ผู้รู้ หรือนักประพันธ์บทกลอน เพลง สดุดี และสุภาษิต     

พระคัมภีร์เดิมฉบับที่แปลจากภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีก เพื่อให้หมู่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศที่ไม่รู้ภาษาฮีบรูสามารถอ่านได้ โดยเฉพาะเชลยที่กลับมาจากบาบิโลน และที่ไปอาศัยอยู่ในเมืองอเล็กซานเดรียทางตอนเหนือของอียิปต์ซึ่งพูดภาษากรีกเป็นหลัก ไม่พบหลักฐานการแปลพระคัมภีร์ฉบับนี้นอกจากตำนานที่พบเกี่ยวกับการแปลหมวดเบญจบรรณ (ปฐมกาล-เฉลยธรรมบัญญัติ) จากจดหมายฉบับหนึ่งอ้างว่าให้มีการแปลเนื่องจากกษัตริย์กรีก ฟิลาเดลปัส (Philadelphus) ที่ปกครองในช่วง ๒๘๕-๒๔๗ ก่อนคริสต์ศักราช ต้องการมีพระคัมภีร์ของยิวไว้ในหอสมุด จึงขอผู้เชี่ยวชาญ ๗๒ คนจากยูดาห์มาร่วมแปล เรียกว่า เซปทัวจินต์ (Septuagint) แปลว่า เจ็ดสิบ ใช้ตัวเลขของโรมัน LXX  เป็นสัญลักษณ์            

ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. ๔๐-๕๐ เริ่มมีการรวบรวมจดหมายฝากของอัครทูตเปาโล ๑๓ ฉบับ ที่เขียนถึงประชาคมชาวคริสต์ในอาณาจักรโรมัน มาระโกได้เขียนพระวรสารขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิตของเซนต์ปีเตอร์ หรือหลังมรณภาพของเซนต์ปีเตอร์ไม่นานราวปี ค.ศ. ๖๔  มัทธิวฉบับภาษากรีกและลูกาเขียนในช่วงระหว่างปี ค.ศ. ๗๐-๘๐ ก่อนหรือหลังการทำลายกรุงเยรูซาเล็มโดยชาวโรมัน ทั้งหมดเป็นการบันทึกเหตุการณ์และคำสั่งสอนของพระเยซู ซึ่งกลายเป็นพระกิตติคุณ ๔ เล่มได้แก่ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น ยังมีหนังสือกิจการของอัครสาวก ซึ่งเป็นประวัติของคริสตจักรในช่วง ๓๐ ปีแรก ต่อมารวบรวมจดหมายฉบับอื่นๆ ของสาวกที่ช่วยสอนและตอบปัญหาของคริสตชนที่พบในชีวิตประจำวัน และหนังสือวิวรณ์ ที่เขียนขึ้นเพื่อหนุนใจบรรดาคริสเตียนที่ถูกรัฐบาลโรมันข่มเหง หนังสือทั้งหมดมี ๒๗ เล่ม เรียกว่า คัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่ โดยใช้เวลารวบรวมนานถึง ๓๐๐ ปี      

สมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ได้มีการรับรองคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ. ๓๑๓ ทำให้คริสต์ศาสนาเจริญรุ่งเรือง จึงเริ่มมีการปลอมปนความคิดความเชื่อมากขึ้น พระคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่เริ่มได้รับการรับรองให้ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับการดำเนินชีวิตของคริสตชน และเริ่มมีการแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาลาติน หรือฉบับวัลเกต โดยเจอโรม (ค.ศ. ๓๔๐-๔๒๐) ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่ใช้อย่างเป็นทางการในคริสตจักรโรมันคาทอลิกเป็นเวลานานถึง ๑,๕๐๐ ปี         

เมื่อผ่านพ้นยุคมืดอันยาวนานหลายศตวรรษ ซึ่งชาวคริสต์สามัญถูกปิดกั้นมิให้เข้าถึงพระคัมภีร์ ทำให้เกิดกระแสความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปศาสนาขึ้นในหลายประเทศ จอห์น ไวคลิฟฟ์ (John Wycliffe ค.ศ. ๑๓๒๔-๑๓๘๔) ชาวอังกฤษ จอห์น ฮัลส์ (John Huss ค.ศ. ๑๓๖๙-๑๔๑๕) ชาวเช็ก มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther ค.ศ. ๑๔๘๓-๑๕๔๖) ชาวเยอรมัน อุลริช ซวิงลี (Ulrich Zwingli ค.ศ. ๑๔๘๔-๑๕๓๑) ชาวสวิส จอห์น คาลวิน (John Calvin ค.ศ. ๑๕๐๙-๑๕๔๖) ชาวฝรั่งเศส ต่างไม่พอใจการปกครองของคาทอลิก จนเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงนำไปสู่การปฏิรูปศาสนาในที่สุด และแตกเป็นนิกายโปรเตสแตนท์อย่างเป็นทางการในปี ๑๕๒๙  ความเห็นข้อหนึ่งของลูเธอร์คือการเรียกร้องให้สามัญชนมีสิทธิ์อ่านพระคัมภีร์ หลายคนจึงเริ่มแปลพระคัมภีร์ออกเป็นภาษาต่างๆ และได้มีการพิมพ์พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษทั้งเล่มออกมาในปี ค.ศ. ๑๕๓๕ โดย ไมล์ส คัฟเวอร์เดล          

พระสันตะปาปายอห์นที่ ๒๓ (ถึงแก่อสัญกรรมปี ๑๙๖๓) เป็นผู้ประกาศให้มีสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง โดยเชิญพระสังฆราชเข้าร่วม ๒,๘๖๐ องค์ เปิดประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๑๙๖๒ จนถึงวันที่ ๘ ธันวาคม ๑๙๖๕ โดยมีพระสันตะปาปาปอลที่ ๖ เป็นประธาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อพิจารณาสภาพการณ์ของโลกปัจจุบันซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และพยายามหาคำตอบจากจุดยืนทางศาสนาให้กับสังคมปัจจุบัน การสังคายนาสิ้นสุดลงพร้อมด้วยเอกสาร ๑๖ ฉบับ ซึ่งบรรดาสังฆราชได้ลงมติด้วยการออกเสียงสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ ประกอบด้วยพระธรรมนูญ ๔ ฉบับ กฤษฎีกา ๙ ฉบับและปฏิญญา ๓ ฉบับ ว่าด้วยพระศาสนจักร การเปิดเผยของพระเจ้า พิธีกรรม การปฏิรูปชีวิตนักบวช การประกาศศาสนา เอกภาพของนิกายต่างๆ ในคริสต์ศาสนา ความสัมพันธ์กับศาสนาต่างๆ เสรีภาพในการนับถือศาสนา ฯลฯ 

หลักฐานการแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาไทย
ปี ค.ศ. ๑๖๖๒ คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  และได้มีการตั้งศูนย์คริสตจักรขึ้น คณะบาทหลวงได้แปลหนังสือพระวรสาร หรือประวัติของพระเยซูจากพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มเป็นภาษาไทยในปี ค.ศ. ๑๖๖๔  โดยเขียนบนกระดาษสา หนังสือนี้มีชื่อว่า พระพุทธเยซู     

นางแอนนา จัดสัน ภรรยาของอาโดนีรัม จัดสัน มิชชันนารีที่ทำงานในประเทศพม่า ได้ศึกษาภาษาไทยจากเชลยศึกชาวสยามที่ถูกกวาดต้อนมาครั้งเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก แอนนาได้แปลพระธรรมลูกาและหลักความเชื่อของคริสต์ศาสนาเป็นภาษาไทย เพื่อเผยแพร่แก่เชลยศึกชาวสยามเหล่านั้น พระธรรมเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ในประเทศอินเดียเมื่อปี  ค.ศ. ๑๘๑๙   

ในปี ค.ศ. ๑๘๒๘ มิชชันนารีคณะแรกจากสมาคมมิชชันนารีลอนดอน มีศาสนาจารย์คาร์ล กุทสล๊าฟ ชาวเยอรมันและศาสนาจารย์ยากอบ ทอมลิน เริ่มเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในกรุงเทพฯ ทั้งสองได้ร่วมกันแปลพระวรสารทั้งสี่เล่มออกเป็นภาษาไทย โดยเริ่มจากพระธรรมลูกา จัดพิมพ์ขึ้นที่สิงคโปร์ในปี ค.ศ. ๑๘๓๔ เมื่อเห็นว่างานดำเนินไปด้วยดี จึงได้ขอคณะกรรมาธิการอเมริกันเพื่องานธรรมทูตต่างประเทศให้ส่งมิชชันนารีมาเพิ่ม และได้ติดต่อคณะอเมริกันแบ๊บติสต์มิชชั่นในพม่าให้ส่งคนมาช่วย ศาสนาจารย์ยอห์น เทเลอร์ โจนส์ จึงได้มาพร้อมกับครอบครัวในปี ค.ศ. ๑๘๓๓ และได้เริ่มแปลคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดเป็นภาษาไทย            

สมาคมพระคริสตธรรมอเมริกาได้ร่วมมือกับยูเนียนแบ๊บติสต์มิชชั่น และอเมริกันบอร์ดออฟมิชชั่น แปลพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มขึ้นใหม่ แก้ไขและจัดพิมพ์ในปี ค.ศ. ๑๘๔๙ และได้ทำการแก้ไขปรับปรุงเล่มอื่นๆ ด้วย รวมถึงการแก้ไขและจัดพิมพ์คัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่ ครั้นถึงปี ค.ศ. ๑๘๘๓ พระคัมภีร์ภาษาไทยทั้งภาคพันธสัญญาเดิม และ ภาคพันธสัญญาใหม่ได้รับการแปลเสร็จเรียบร้อย และจัดพิมพ์แยกเล่มโดยสมาคมพระคริสตธรรมอเมริกา        

ปี ค.ศ. ๑๘๖๑ คณะเพรสไบทีเรียนได้ตั้งโรงพิมพ์ขึ้นในกรุงเทพฯ เพื่อจัดพิมพ์พระคัมภีร์ออกเผยแพร่โดยร่วมกับสมาคมพระคริสตธรรมอเมริกาจัดพิมพ์พระคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาไทยออกจำหน่ายในสมัยนั้น และได้จัดพิมพ์พระคัมภีร์ทั้งเล่มได้สำเร็จในวันที่ ๑๖ กันยายน ๑๘๙๔ โดยพิมพ์บทเพลงซาโลมอนออกมาเป็นเล่มสุดท้าย        

ครั้นถึงปี ค.ศ. ๑๙๔๐ ศาสนาจารย์โรเบิร์ต อาร์ แฟรงกลิน ได้พิมพ์พระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ออกมา ซึ่งมีคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่ที่พิมพ์ในปี ค.ศ. ๑๙๓๐ และคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิมซึ่ง ดร.ดาร์ริงตันแปล จนเป็นที่แพร่หลายและเป็นต้นแบบของพระคัมภีร์ในปัจจุบัน ซึ่งชื่อของพระคัมภีร์แต่ละเล่มใช้ชื่อภาษาอังกฤษตามแบบโบราณ         

ได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจทานแก้ไขพระคัมภีร์อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ โดยได้รับความร่วมมือจากฝ่ายโปรเตสแตนต์และฝ่ายคาทอลิก มีกรรมการยกร่างคำแปลสามคน กรรมการตรวจสอบแก้ไขฉบับยกร่างแปดคน กรรมการที่ปรึกษา ๒๕ คน งานแก้ไขครั้งนี้ใช้เวลานานถึง ๑๓ ปี เนื่องจากต้องการแก้ไขการแปลให้ถูกต้องตามต้นฉบับมากที่สุด โดยการเทียบฉบับภาคพันธสัญญาเดิมกับต้นฉบับภาษาฮีบรู และเทียบฉบับภาคพันธสัญญาใหม่กับต้นฉบับภาษากรีก ซึ่งเป็นภาษาเดิมที่ใช้ในการบันทึก ขั้นสุดท้ายต้องให้นักลีลาภาษาไทยมาช่วยขัดเกลาภาษาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับนี้แก้ไขเสร็จสมบูรณ์และจัดพิมพ์ขึ้นครั้งแรกที่ฮ่องกง ในปี ค.ศ. ๑๙๗๑            

สมาคมพระคริสตธรรมไทยได้แปลพระคัมภีร์ภาษาไทยขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง โดยเน้นภาษาที่ทันสมัย มีความสละสลวย เพื่อให้คนอ่านทั่วไปสามารถอ่านได้เข้าใจง่ายขึ้น เรียกว่า “พระวจนะสำหรับยุคใหม่” หรือฉบับ “ประชานิยม” โดยมีบุคคลหลายท่านจากฝ่ายโปรเตสแตนต์และฝ่ายคาทอลิก มาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบแก้ไขการแปล โดยภาคพันธสัญญาเดิมได้เพิ่มบทอธิกธรรมไว้ด้วย ซึ่งเป็นหนังสือเจ็ดเล่มที่ฝ่ายคาทอลิกยอมรับ แต่ฝ่ายโปรเตสแตนต์ไม่ยอมรับ แปลเสร็จและจัดพิมพ์ภาคพันธสัญญาเดิมในปี ค.ศ. ๑๙๗๗ และจัดพิมพ์ภาคพันธสัญญาใหม่ในปี ค.ศ. ๑๙๘๐ และจัดพิมพ์รวมเล่มออกมาในปี ค.ศ. ๑๙๘๔ 

พระคริสตธรรม คัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับมาตรฐาน ค.ศ. ๒๐๐๒ เป็นฉบับที่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงคำแปลจากฉบับปี ๑๙๗๑ เนื่องจากภาษาไทยมีการพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา โครงการแก้ไขคำแปลจึงเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๙๗ มีผู้แปลซึ่งเป็นกรรมการยกร่างคำแปลทำหน้าที่พิจารณาแก้ไขคำแปล ประกอบด้วยคณาจารย์และนักวิชาการที่มีความรู้ภาษากรีกและฮีบรู ซึ่งผ่านอบรมจากสมาคมพระคริสตธรรมไทย กรรมการตรวจสอบทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะในการแก้ไขคำแปล กรรมการที่ปรึกษาประกอบด้วยผู้นำคริสตจักร ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในแง่ผลกระทบของการแปลต่อคริสตจักรโดยรวม เมื่อผ่านกระบวนการยกร่างและพิจารณาข้อเสนอแนะจากการตรวจไขว้โดยผู้ยกร่างพระธรรมเล่มอื่นแล้ว จึงส่งให้ที่ปรึกษาฝ่ายการแปลของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากลตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง แล้วให้นักลีลาภาษาขัดเกลาภาษาเป็นขั้นตอนสุดท้าย แล้วเสร็จทั้งเล่มในปี ค.ศ.๒๐๐๒            

เบญจบรรณ ฉบับมาตรฐาน ๒๐๐๖ เป็นหมวดหนึ่งของพระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม ประกอบด้วยพระธรรมห้าเล่มแรกคือ ปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี และเฉลยธรรมบัญญัติ ได้รับการแก้ไขคำแปลใหม่จากฉบับ ๑๙๗๑ เริ่มแก้ไขคำแปลพระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมในปี ค.ศ. ๑๙๙๙ โดยพยายามแปลให้มีเนื้อความสอดคล้องกับสำเนาฉบับภาษาฮีบรูให้มากที่สุด และเลือกใช้ภาษาไทยที่อ่านเข้าใจได้ง่าย โดยคณะกรรมการยกร่างฯ ได้ยึดหลักเกณฑ์เดียวกับการแก้ไขคำแปลพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ และมีมติให้ผลักดันพระคัมภีร์เดิมหมวดประวัติศาสตร์ (โยชูวา-เอสเธอร์) เป็นหมวดต่อไปที่จะจัดพิมพ์ต่อจากพระธรรมสดุดี ซึ่งจะสิ้นสุดกระบวนการยกร่าง และจัดพิมพ์ราวปลายปี ค.ศ. ๒๐๐๘ และคาดว่าจะแปลเสร็จทั้งเล่มในปี ค.ศ. ๒๐๑๐ 


เขียนโดย นิตยสารสานแสงอรุณปีที่ 11 ฉบับที่ 4  

หนังสือประกอบการเขียน
ศาสนาคริสต์ , เสรี พงศ์พิศ เขียน, พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๒๙  (ไม่ระบุสำนักพิมพ์)           
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม ฉบับ 1971 และพระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับมาตรฐาน 2002, สมาคมพระคริสตธรรมไทย: 2006           
เบญจบรรณ ฉบับมาตรฐาน 2006, สมาคมพระคริสตธรรมไทย: 2006                       
ขอบคุณพิเศษ
ศจ.ดร.เสรี หล่อกัณภัย แห่งสมาคมพระคริสตธรรมไทย ที่กรุณาให้สัมภาษณ์และเอื้อเฟื้อข้อมูล

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

Teaching of Pastor Alexander Shosheel form Pakistan

Teaching of Pastor Alexander Shosheel form Pakistan
File 090726-shoseel.mp3 Extracted by Reewat 9-9-2009
A sermon delivered at Yun Prakun Church in BKK Thailand.
Numbers 13-14: How to take the Promised Land.

When God wants to do something big in your life?

1. He chooses leaders. God order Moses 12 leaders, each from each tribe

2. He sends them to check out how the land looks like. This is the responsibility and duties and authority.

3. Leaders have to give reports.

There are 2 types of reports.

Positive and negative but somebody gives some positive and negative report. (Mixed answer)
A negative report gives fear and discouragement.

A positive report gives you encouragement and power of mind. You can give good or bad report.
Cross is hope and victory.

4. They talked about the land. These spies gave account about the land. The ten and the two gave report.
The ten told the congregation that the land is good but the people in the land were very big and the wall of the town was very big. We are like grass shoppers.

They glorified the enemy than God.
Many times we should life or death but God wants to give you life and miracle, healing and victory. It depends on your faith. If you feared and terrified with the bad report you will be defeated. So when you hear any bad reports you should speak the Word of Go because God had created everything from nothing. When you speak the word of faith you will live and you will gain victory. If you speak word against God’s Word you will be defeated.

5. Joshua and Caleb tore their clothes because they wanted to be humble to God.
Joshua and Caleb spoke the Word of faith.
“Brothers and sisters, calm down, listen to us the land is good and we are able to capture the Land because God will give the land to us. Because our God is the true God, he will go in front of us with the fire. When the demons hear the word of God they will run away. We have the power in the Name of our lord we will conquer the land.

6. Victory is not easy and it takes sometime to talk control all over the land. God wants you to take the first step.Do you want to walk with the man of faith or do you want to walk with someone who fears.

7. If you have much money you will have no need to use faith. Remember, when you hear the word of Holy Spirit and you obey the voice of you will be the blessings to other people and your life will be blessed abundantly.

8. 1 Kings17.8 Elijah and the widow
“Then the word of the LORD came to him, 9“Arise, go to Zarephath, which belongs to Sidon, and dwell there. Behold, I have commanded a widow there to feed you.”
God has already planned something good for you because God is supernatural and He will do it in a supernatural way.
First you give and then you will receive. Somebody says, God give me money then I will give it back 10% to you. No, this is contrary to God’s word.
Giving is the first step of obedience.
Giving opens the door of blessing to your life.
The widow gave first to God then miracle happened. God said bring the first fruit to God then you are blessed. The miracle happened because of faith of obedience.

ข้อคิดสำหรับคริสต์จักรไทย และชุมชนคริสเตียน-ตอนที่ 2

ข้อคิดสกิตใจสำหรับคริสตจักรไทย

1. ปี 2010 คริสตจักรของเราน่าจะมีคำขวัญเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจในการทำพันธกิจของพระเจ้าว่าอย่างไร

2. คริสตจักรของเราน่าจะมีการอบรมฟื้นฟู การเสริมสร้างด้านการความเชื่อ และความเข้าใจในพระคัมภีร์ให้มากขึ้นอย่างไร

3. ปีนี้คริสตจักรของเราน่าจะจัดประกาศข่าวดีแก่ชุมชน และช่วยเหลือพี่น้องในละแวกใกล้เคียงอย่างไร กี่ครั้งต่อปี

4. คริสตจักรของเราได้ทุ่มงบประมาณสำหรับการประกาศไปทุกปี เราได้ผลอย่างไร ปีใหม่นี้จะวางแผนการประกาศอย่างไรให้เกิดผลมายิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านไป

5.  เราจะจัดการประชุมอธิษฐานเพื่อคริสตจักร ชุมชน เพื่อผู้นำคริสตจักรอย่างไร เดือนละกี่ครั้ง เพราะการอธิษฐานคือพลังเพียงอย่างเดียวของคริสตจักรที่จะสามารถเอาชนะวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานฟ้าอากาศได้

6.  คริสตจักรอยากจะตั้งคำถามกับพี่น้องในคริสตจักรว่า พวกเราหย่อนยานในด้านใดและพี่น้องพอใจกับสภาพของคริสตจักรตอนนี้เพียงใด มีสิ่งใดที่ต้องปรับปรุง เก้าอี้ เครื่องดนตรี  เครื่องเสียง เครื่องฉายภาพ ทาสีอาคารใหม่ให้ดูสดใสขึ้นดีใหม่ เราช่วยกันคิดดีไหม

7. ค่าตอบแทนของผู้รับใช้พระเจ้าในคริสตจักรน่าจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่าในปัจจุบันนี้อีกได้ไหมให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ และเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อการอวยพรที่มากขึ้นตามความเชื่อของพี่น้องคริสเตียนในคริสตจักร

8. คริสตจักรน่าจะมีการให้ขวัญกำลังใจแก่ผู้นำคริสตจักรที่ไม่ได้รับเงินเดือนประจำอย่างไร ที่ผ่านมาคริสตจักรดูแลผู้นำเหล่านี้อย่างไร มีอะไรที่จะช่วยเสริมสร้างกำลังใจแก่พวกเขาเหล่านี้ได้มากขึ้นหรือไม่ หากไม่มีพวกเขาคริสตจักรจะเป็นอย่างไร

9.  คริสเตียนจะเจริญขึ้นได้ต้องมีการศึกษาพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ และอย่างเป็นระบบ ปีใหม่นี้คริสตจักรของเรา น่าจะปรับปรุงการเรียนพระคัมภีร์ให้เป็นระบบให้มากขึ้นไหม เพื่อให้พัฒนาความเชื่อให้เข้มแข็งและมีการปฏิบัติมากขึ้น ขยับเวลาในการมาโบสถ์ให้เช้าขึ้นอีกนิดหนึ่งได้ไหมเพื่อเราจะมีเวลาอธิษฐานด้วยกัน เสริมสร้างความรู้ด้านพระคัมภีร์ให้มากขึ้น

10. พี่น้องในคริสตจักรของเรามีความต้องการพัฒนาความเชื่อ การปฏิบัติในด้านการดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างไร คริสตจักรจะสอนเรื่องอะไร ทำอย่างไรให้พี่น้องมีความเจริญขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่

11. อนาคตของคริสตจักรขึ้นอยู่กับพันธกิจด้านรวีวารศึกษา การพัฒนา และส่งเสริมกิจกรรมด้านอนุชน คริสตจักรของเราทุ่มเทงบประมาณสำหรับการสอนรวีวารศึกษาอย่างไร  ครูผู้สอนได้รับการดูแลจากคริสตจักรอย่างไรบ้าง เด็กของเราไปไหนในวันอาทิตย์ ที่โบสถ์มีอะไรที่ดึงดูดเด็กๆ ให้มาโบสถ์บ้าง เพื่อให้เด็กกลับเข้ามาสู่รั้วของโบสถ์

12. คริสตจักรมีการสรุปงาน และเก็บรวบรวมภาพเหตุการณ์ต่างๆ ของคริสตจักรเพื่อจัดทำเป็นแฟ้มประวัติของคริสตจักรหรือไม่ เพื่อเราจะสามารถระลึกถึงและจดจำวันแห่งพระพรในโอกาสต่างๆ ที่พระเจ้าอวยพรคริสตจักรของเรา  ขอให้เรามาเถิดมาช่วยกัน คิด ทำ ร่วมมือ เสียสละความสุขความสบายส่วนตัว ช่วยกันสร้างสรรค์คริสตจักรของพระเจ้าให้เจริญรุ่งเรืองกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อเราจะเป็นที่ผู้หนึ่งที่พระเยซูจะได้ตรัสชมว่า “เจ้าทำดีแล้วลูกเอ๋ย”

“ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด”  ลูกา 7:50

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

ผู้นำที่มีนิมิต โดย ดร. เดวิด ยองกี โช - ตอนที่ 3


มื่อคุณได้รับนิมิตจากพระเจ้าคุณจะได้รับ การเจิมจากพระเจ้า เมื่อคุณได้รับการเจิมจากพระองค์ คุณจะดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยการอัศจรรย์


แต่การดำเนินชีวิตในโลกแห่งการอัศจรรย์ของพระเจ้านั้น คุณจะต้องเปลี่ยนความคิดของคุณ คุณต้องเลิกใช้ชีวิตตามเหตุและผลถ้าคุณต้องการทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ

เมื่อเรามีสมาชิก 100,000 คน ผมอธิษฐานว่า “ ข้าแต่พระวิญยาณบริสุทธิ์แค่นี้หรือพระเจ้าข้า ” พระองค์ตรัสถามผมว่า “ เจ้ามองเห็นอะไรยิ่งใหญ่กว่านี้ไหม ? ”
ผมเห็นคน 300,000 คนแล้วก็คนครึ่งล้าน ตอนนี้เรามีสมาชิก 700,000 คน การเลี้ยงดูคนจำนวนมากขนาดนี้ เราจำเป็นต้องมีคริสตจักรที่ถ่ายทอดทางดาวเทียมทั่วทุกเมืองที่อยู่ในเครือ ของเรา และเราใช้โทรทัศน์วงจร
จนถึงทุกวันนี้ คริสตจักรของเรามีสมาชิก 700,000 คน นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผมไม่มีนิมิต ผมไม่พร้อมที่จะของนิมิตมากกว่านี้อีก ผมเหนื่อย
ถ้ามีสมาชิกมากกว่า 700,000 คน เราคงต้องซื้อที่ดินมากกว่านี้ และต้องหาที่ดินสำหรับคริสตจักรที่จะใช้ดาวเทียมสื่อสาร นั่นคงต้องใช้เงินมากและต้องรณรงค์หาเงินกันอีกครั้ง
ขณะนี้เรามีคริสตจักรที่ใช้ดาวเทียม 20 แห่ง คริสตจักรเหล่านี้มีขนาดใหญ่มีสมาชิกอย่างน้อยที่สุด5,000 ถึง10,000 คน ผมได้ก่อตั้งคริสตจักรทางดาวเทียมที่เป็นอิสระมากมายและให้ศิษยาภิบาลร่วม ของผมดูแลเลี้ยงดูพวกเขา คริสตจักรอิสระในอันหยางและซูวอนมีสมาชิกแห่งละ 100,000 คน

ผมค่อยๆปล่อยศิษยาภิบาลร่วมของผมรับคริสตจักรทางดาวเทียม ไปดูแลรับผิดชอบ การที่จะหาศิษยาภิบาลร่วมที่สามารถดูแลคริสตจักรซึ่งใสมาชิก 10,000 คนนั้นเป็นเรื่องยาก ศิษยาภิบาลเหล่านี้ต้องได้รับการฝึกฝนอบรมและต้องมีนิมิตของพระเจ้าอยู่ใน หัวใจ ศิษยาภิบาลร่วมของผมหลายคนไม่ประสพความสำเร็จในการเลี้ยงดูคริสตจักร ดังนั้น ผมจึงต้องพิจารณาเรื่องการมอบอำนาจให้ศิษยาภิบาลร่วมด้วยความระมัดระวังมาก

     
หลายคนถามผมว่า “มาถึงตอนนี้แล้ว คุณจะทำอะไรต่อไป”


การมีนิมิตและความฝันมากมายในหัวใจเวลาเดียวกันเป็นเรื่องเป็นไปได้ ในขณะที่ผมฝันเรื่องคริสตจักรโยอิโด พระเจ้าก็ให้ผมฝันเรื่องภูเขาอธิษฐานด้วย ในขณะที่ผมทำงานคริสตจักรและมีปัญหาเรื่องหนี้สินค่าก่อสร้างคริสตจักรท่วม ตัวพระเจ้าก็ยังให้นิมิตเรื่องภูเขาอธิษฐานกับผม
นอกจากงานคริสตจักรแล้ว เรายังมีงานสังคมสงเคราะห์มากมายในภูมิภาคเอเซียด้วย เราอบรมคนหนุ่มสาวของเราที่ติดยาหรือที่ต้องออกจากโรงเรียน เราให้ที่อยู่อาศัยแก่พวกเขาและให้อาหาร เสื้อผ้า รวมทั้งการฝึกอบรมด้านอาชีพ หลังจากนั้นหนึ่งปี พวกเขาก็กลายเป็นคริสเตียนที่ดี และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้ จากนั้น เราก็ส่งพวกเขากลับเข้าไปในสังคมอีกครั้ง เราสร้างบ้านให้คนชราทั้งหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 65ปี ซึ่งไม่มีใครเลี้ยงดู และเรากำลังสร้างมหาวิทยาลัย

6 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมกำลังต่อสู้เพื่อโครงการนี้ พระเจ้าทรงใส่ความฝันเข้ามาในใจของผมเรื่องการมีหนังสือพิมพ์รายวัน เมื่อเรากำลังนมัสการในครอบครัวและเป็นช่วงเวลาอธิษฐาน พระเจ้าตรัสกับผมว่า “โช ลุกขึ้น และเริ่มงานหนังสือพิมพ์รายวัน”
แต่พระเจ้ายืนกรานว่า “ เรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ จงรับความฝันของเราไปและเริ่มงานหนังสือพิมพ์ ”

ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก ผมคิดในใจว่า ทำไมต้องเป็นผมอีกแล้ว? ทำไมพระองค์ไม่เลือกองค์การทางธุรกิจ?

ตอนนี้หนังสือพิมพ์ของเรามียอดจำหน่าย1ล้านฉบับ ซึ่งมีพระกิตติคุณ 8 หน้ารวมอยู่ด้วยทุกฉบับ

ขณะนี้ผมได้ยินพระองค์บอกผมให้เดินทางไปรอบโลกเพื่อบอกคนอื่นให้รู้เรื่อง เคล็ดลับของการเจริญเติบโตของคริสตจักร ช่วยผู้รับใช้พระเจ้าให้มีนิมิตยิ่งใหญ่ขึ้นเพื่องานคริสตจักร ผมเรียกนิมิตนี้ว่าการเจริญเติบโตของคริสตจักรสากล และเป็นสิ่งที่พระเจ้าสำแดงแก่ผมชัดเจนอันเป็นอนาคตของผม


ผมขอท้าทายคุณให้วิ่งตามนิมิตที่คุณมีในใจ ถ้าคุณวิ่งโดยไม่มีนิมิตคุณจะล้มเหลว คุณควรขอให้พระเจ้าสำแดงแผนการอนาคตของคุณให้คุณเห็น

คุณสมบัติประการแรกของศิษยาภิบาลที่มีนิมิตในหัวใจ นั่นคือ " ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่และมีพลังซึ่งเป็นแรงจูงใจจากพระเจ้า "
ที่มาhttp://www.jaisamarn.org/1/article/articleview.asp?s_articleno=503















ที่


ผู้นำที่มีนิมิต โดย ดร. เดวิด ยองกี โช - ตอนที่ 2

ผู้นำที่มีนิมิต โดย ดร. เดวิด ยองกี โช

หลังจากที่นิมิตนั้นได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว พระเจ้าทรงตรัสกับผมในใจว่า “ ถ้าเจ้าเงยหน้าของเจ้าขึ้นเหมือนอับราฮัมแล้วมองไปทางเหนือ ทางใต้ ทางตะวันออกและทางตะวันตก เราจะให้ผืนดินแก่เจ้าเท่าที่มองเห็น ” จากจำนวนสมาชิก 10,000 คนผมเห็นสมาชิก 30,000 คน ผมไม่คิดว่าผมจะเลี้ยงดูสมาชิกได้มากกว่า 30,000 คน

พระเจ้าตรัสว่า ” เอาล่ะ เราจะให้เจ้ามีสมาชิก 30,000 คน ” ดังนั้น ผมจึงตั้งครรภ์ด้วยนิมิตที่จะมีคริสตจักรประกอบด้วยสมาชิก 30,000 คน ไม่นานหลังจากที่คริสตจักรของเรามีสมาชิก 30,000 คน ผมก็บอกว่า ” ข้าแต่พระบิดาเจ้า พระองค์จะประทานนิมิตที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้ข้าพระองค์อีกหรือไม่ ? ” แล้วพระองค์ก็ให้ผมมีนิมิตเห็นคริสตจักรที่มีสมาชิก 50,000 คน ผมมีความชื่นชมยินดี นั่นเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนเหมือนกับมีแสงไฟส่องสว่างไปที่เป้าหมายนั้น จากนั้นเราก็มีสมาชิก 50,000 คน

ไม่นานหลังจากนั้น ในขณะที่ผมกำลังอ่านพระธรรมอิสยาห์บทที่ 54 พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตรัสกับผมว่า “ ต่อเติมอาคารของเจ้า เสริมสร้างคริสตจักรให้เข้มแข็ง เจ้ากำลังจะเติบโต เจ้ากำลังจะมีคริสตจักรที่มีสมาชิก 100,000 คน ”

ผมงงมาก “ ผมไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้เลย 100,000 คนเชียวหรือ สมาชิกของผมคงไม่เชื่อหรอก”
จากนั้นซาตานก็เริ่มรบกวนผมยั่วยุไม่ให้เชื่อเช่นนั้น มันกล่าวว่า “ เจ้าเป็นนักฝันเพราะเจ้ามีปัญหาทางจิตที่ไม่สมดุลเหมือนคนอื่น ความฝันของเจ้าเป็นแค่เกมส์เท่านั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าหรอก ”

ดังนั้น ผมจึงเฝ้าอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก และพระเจ้าทรงใช้ข้อพระคัมภีร์เพื่อยืนยันนิมิตนั้น ผมจึงสามารถเห็นคริสตจักรที่มีสมาชิก 100,000 คนได้ ในวันอาทิตย์ต่อมา ผมพูดว่า “ เรากำลังจะวางแผนสำหรับคริสตจักรที่มีสมาชิก 100,000 คน ” ผู้ปกครองหลายคนเดินออกจากคริสตจักรไป

พวกเขาบอกว่า “ คุณบ้าไปแล้ว คุณไม่มีทางไปถึงเป้าหมายนั้นได้ เพราะตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักรไม่เคยมีคริสตจักรไหนมีสมาชิกถึง 100,000 คนเลย ถ้าคุณจะทำอย่างนั้น เราก็ต้องต่อเติมคริสตจักรของเราอีกและต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล เราจะคัดค้านในเรื่องนี้และต่อสู้กับคุณจนถึงที่สุด ”

ตลอดเวลาหลายปีที่ผมเทศนาเรื่องการเจริญเติบโตของคริสตจักร ผมไม่เคยเห็นคริสตจักรไหนเจริญเติบโตได้ถ้าไม่มีผู้นำที่เข้มแข็ง นิมิตและความฝันอาจจะตายได้ถ้าคุณต้องนำความฝันนั้นผ่านคณะกรรมการ มันจะเหลือแค่ซากศพเท่านั้น ตลอดประวัติศาสตร์ของคริสตจักร พระองค์ไม่เคยใช้คณะกรรมการหรือคณะนิกายใดในการนำการฟื้นฟู พระองค์ทรงใช้คนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน ลูเธอร์ , จอห์น เวสเลย์ ดี แอล มูดี้ , บิลลี่ เกรแฮม และคนอื่น ๆ อีกมาก
     
คณะ นิกายมักจะพยายามหาจุดยืนของพระเจ้าด้วยการอภิปรายและความคิดที่เป็นเหตุ เป็นผล แต่คริสตจักรในสมัยพระคัมภีร์ไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาพูดกับสภาเยรูซาเล็มว่า “ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทิ์และข้าพเจ้าทั้งหลายก็เห็นชอบที่จะไม่วางภาระบน ท่านทั้งหลาย เว้นไว้แต่สิ่งเหล่านั้นที่จำเป็น ” ( กิจการ15:28 ) พวกเขาให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประธานในคณะกรรมการของพวกเขาเสมอ

ในสมัยคริสตจักรยุคแรกเมื่อพวกเขามีการประชุมคณะกรรมการ พวกเขาจะอธิษฐานและรอคอยพระเจ้า พวกเขาจะได้ยินเสียงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วเขาก็จะสามรถเขียนจดหมายเป็น ทางการซึ่งขึ้นต้นว่า “ ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วและเราทั้งหลายก็เห็นชอบ ด้วย”

ในปัจจุบัน เราไม่ได้ทำเช่นนั้นเราพิจารณาเพื่อตัดสินใจในเรื่องต่างๆด้วยเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นไปในโลก ไม่ว่าจะเป็นสภาพทางเศรษฐกิจ, สถานการณ์ทางสังคม และเงื่อนไขของคริสตจักร แล้วนิมิตกับความฝันของเราก็จะถูกทำลายลง
เมื่อคริสตจักรของเรามีสมาชิก 50,000 คน และผมตั้งเป้าหมายที่จะมีสมาชิก 50,000 คน มีหลายคนต่อต้านผม ผู้ปกครอง 3 คนเริ่มกระจายข่าวว่า “ โชกำลังจะขูดรีดเงินจากสมาชิกทุกคนและทำให้พวกเขายากจน เขากำลังจะทำให้คริสตจักรนี้ยุ่งวุ่นวาย ”
     
มัคนายกหลายคนก็เข้าร่วมกับผู้ปกครองเหล่านั้น พวกเขาออกจากคริสตจักรและปล่อยข่าวกับพวกผู้สื่อข่าวสื่อมวลชนต่างๆเริ่มโจม ตีผม พวกเขากล่าวว่า “โชกำลังจะสร้างคริสตจักรมหึมาเพื่อเกียรติยศและความต้องการของเขาเอง”

ในที่สุด พ่อของผมเองเข้ามาหาผมด้วยน้ำตานองหน้าบอกว่า “ลูกเอ๋ยเลิกคิดเรื่องนิมิตนี้ได้ไหม เรื่องนี้ทำให้ครอบครัวของเราวุ่นวายเหลือเกิน พวกเราสงสัยว่าลุกกำลังจะกลายเป็นคนหยิ่งยโส สมาชิก50,000 คนยังไม่ทำให้ลูกพอใจอีกหรือ? ”

ผมพูดกับพ่อว่า” ผมรู้ว่านิมิตของผมทำให้ทุกคนเครียด แต่พระบิดาที่ยิ่งใหญ่กว่าพ่อต้องการให้ผมทำสิ่งนี้ พ่อคนไหนที่ผมควรจะเชื่อฟัง ผมต้องเชื่อฟังพระบิดาในสวรรค์อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ ”
ดังนั้น ผมจึงรักษานิมิตของผมไว้ผมเทศนาและยืนยันในเรื่องนี้ ผมเริ่มรณรงค์หาเงินทุนสำหรับต่อเติมอาคารของเรา
ผู้ปกครองที่ไม่พอใจค่อยๆเดินออกจากคริสตจักรไปทีละคน แต่ในที่สุดคริสตจักรก็ต่อเติมสำเร็จ ทันทีที่อาคารคริสตจักรของเราต่อเติมสำเร็จ เราก็มีสมาชิกมากกว่า 100,000 คนแล้ว

ผู้ปกครองคนหนึ่งที่ออกจากคริสตจักรไปแล้วเขียนมาบอกผมว่า “เราคิดว่าคุณจะต้องล้มเหลวแน่ แต่ในที่สุดคุณก็ทำสำเร็จ นั่นแสดงว่าพระเจ้าอยู่กับคุณ และเราผิดพลาดไป”

ผู้นำที่มีนิมิต โดย ดร. เดวิด ยองกี โช - ตอนที่ 1



ขอหนุนใจผู้รับใช้พระเจ้าสำหรับ ปีใหม่ 2010 ขอให้เรามีนิมิตที่แจ่มชัด และไม่น่าเป็นไปได้เสมอ

โดยพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้

นี่คือคำพยานของ ศิษยาภิบาลที่มีสมาชิกมากที่สุดในโลก และเป็นคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
ดร. ยองกีโช

ฮาบากุก 2.2
 
2และพระเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า  
 
จงเขียนนิมิตนั้นลงไป  
 จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง  
 เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง  
 
3เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่  
 มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ  
มันไม่มุสา  
  ถ้าดูช้าไป  ก็จงคอยสักหน่อย  
 มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ 
คงไม่ล่าช้านัก   





ความเจ็บปวดของผู้นำที่มีนิมิต
พระ เจ้าได้ทรงประทานนิมิตในใจให้กับผมก่อนที่ผมจะประสพความสำเร็จ แล้วพระองค์เองก็เป็นผู้ทรงกระทำให้นิมิตนั้นสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ผมได้เรียนรู้ว่าถึงแม้ว่าเราจะมีนิมิตที่พระเจ้าประทานให้ ถนนที่เราต้องฟันฝ่าไปให้ถึงนิมิตนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากศัตรู


เมื่อเรามีนิมิต เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เราจะเปลี่ยนไป ทั้งการพูด การกระทำ และการเป็นผู้นำ นิมิตที่เราได้รับจากพระเจ้าจะทำให้เรากลายเป็นคนใหม่และขอบพระคุณพระเจ้า ที่เราไม่ต้องเป็นผู้สร้างนิมิต แต่นิมิตเป็นสิ่งที่จะเสริมสร้างเรา


นิมิตคืออะไร? นิมิตคือเป้าหมายในอนาคตของเรา ถ้าเราไม่มีเป้าหมายเราก็จะไม่มีทิศทางในการดำเนินชีวิตและเดินทางไปอย่าง สะเปะสะปะไร้จุดหมาย เราจะไม่มีแรงจูงใจและจะดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ



เมื่อเราได้พบกับคนที่ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่ออาณาจักรของพระเจ้าเราจะพบ ว่าพวกเขามักจะเป็นคนที่ทีความฝันหรือคนที่มีนิมิต พวกเขามีแสงไฟสว่างส่องไปยังเป้าหมายของคน พวกเขาทุ่มเทพลังงาน เวลาและเงินทองของตนไปสู่ทิศทางนั้น



กระนั้น ถึงแม้ว่านิมิตของเราจะดูสวยงามเพียงใดก็ตาม บางครั้งพระเจ้าก็ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราไม่มีประโยชน์และผิดหวัง เพื่อว่าเราจะปล่อยให้นิมิตของเราตายไป หลายครั้งหลายหนที่พระองค์ทรงนำผมไปถึงชายแดนแห่งความตาย เพียวเพื่อให้ความฝันของผมเกิดใหม่อีกครั้งเท่านั้น
ในปี 1958 หลังจากที่เรียนจบโรงเรียนพระคริสตธรรม ผมออกไปมากมีฐานะยากจน ผมออกไปในพื้นที่ซึ่งคนส่วนมากมีอาชีพเป็นขอทาน ผมตั้งเต็นท์เก่าๆของทหารเรือสหรัฐฯแล้วก็เริ่มเทศนา
ผมมีสมาชิกในคริสตจักรเพียง 5คน ผมไม่มีอาหารรับประทานและผมหนาว และเนื่องจากไม่มีที่พักอาศัย ผมจึงนอนอยู่ในเต็นท์นั้นนั่นเอง


แต่พระเจ้าตรัสกับผมผ่านทางนิมิตและความฝันเรื่องอนาคตของผมว่าเจ้าจะมีคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลีผมหัวเราะคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีหรือ?ผมมีเต็นท์เก่าๆขาดๆมีเสื่อหญ้าปูพื้น นอน และไม่มีใครสนับสนุนผมทางการเงิน ผมจะมีคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลีได้ยังไง?”ผมถาม ผมมองไม่เห็นสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งที่มีในปัจจุบัน


เมื่อผมมองสถานการณ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง5ของผม อนาคตของผมดูเหมือนไม่มีหวังอะไรเลย แต่เมื่อผมอธิษฐาน ผมก็สามารถมองเห็นตัวเองเปนศิษยาภิบาลที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีได้
ผมพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันเอง เมื่อผมเปิดตาของตัวเองผมเป็นเหมือนคนที่ยังไม่เชื่อ แต่เมื่อผมปิดตาของตัวเอง ผมเป็นผู้เชื่อที่ยังใหญ่


ผมเห็นนิมิตแห่งคริสตจักรที่ยิ่งใหญ่ ในขณะนั้น พระเจ้าสร้างภาพในจิตใจให้ผมเห็นภาพคริสตจักรที่มีสมาชิก 3,000คน ใจหนึ่งผมก็ชื่นชมยินดี แต่ถ้าเป็นหนึ่งผมก็สงสัยว่าตัวเองเป็นโรคจิตหรือเปล่าที่คิดเช่นนั้น ผมบอกสมาชิกทั้ง 5 คนถึงนิมิตที่ผมมี ผมบอกพวกเขาว่าเราจะสร้างคริสตจักรใหญ่ที่สามารถจุคนได้ 3,000คน คนจะมาคริสตจักรของเราเป็นพันๆคน คริสตจักรของเราจะกลายเป็นคริสตจักรใหญ่ที่สุดในโลก
     
พวก เขาทุกคนหัวเราะ พวกเขาคิดว่าผมบ้าไปแล้ว ภรรยาของผมซึ่งตอนนั้นยังเป็นแฟนกันอยู่รู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาก เธอบอกว่า ถ้าคุณยังพูดเหลวไลแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ฉันจะเลิกกับคุณ ฉันอายที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ เพราะทุกๆคนหัวเราะเยาะคุณ
แต่ผมบอกว่า ผมตั้งครรภ์ด้วยนิมิตว่าจะมีคริสตจักรที่มีสมาชิก 3,000คนในปี1964 เรามีสมาชิก 3,000คนและในปี1969 เรามีสมาชิก 8,000คนเราเป็นคริสตจักรใหญ่ที่สุดในเกาหลีและผมรู้สึกสนุกกับงานพันธกิจที่ รับผิดชอบอยู่



ผมพูดว่า ผมมาถึงยอดเขาแล้วตอนนี้ ผมจะมีความสุขไปจนชั่วชีวิตแต่วันหนึ่งพระสุรเสียงของพระวิญาณบริสุทธิ์ตรัสกับผมว่าโชพันธกิจของเจ้าที่นี่สำเร็จแล้ว เราอยากจะให้เจ้าไปเริ่มพันธกิจโดยตั้งคริสตจักรใหม่ คราวนี้ เราอยากให้เจ้าสร้างคริสตจักรที่มีสมาชิก 10,000คน
ในช่วงนั้น ผมอยู่ด้วยนิมิตและความฝัน ผมมีเงินของคริสตจักรในธนาคารแค่ 1,000เหรียญ แต่การสร้างคริสตจักรต้องใช้เงินอย่างน้อย 100ล้านเหรียญ


ผู้ปกครองคริสตจักรพูดกับผมว่า โช คุณมีแต่นิมิต คุณไม่สามารถสร้างคริสตจักรด้วยนิมิต ถ้าคุณทำอย่างนั้นพวกเราจะย้ายไปอยู่คริสตจักรอื่น เพราะคุณกำลังเอาชีวิตและคริสตจักรที่เจริญเติบโตไปเสี่ยง และถ้าเราติดตามคุณต่อไป คนอื่นก็จะพากันหัวเราะเยาะเรา
ในปี 1969 ผมซื้อที่ดินของคริสตจักรโยอิโดฟูลกอสเปิลด้วยเครดิต ผมไม่ๆด้จ่ายสักแดงเดียวสำหรับที่ดินนั้น ปัจจุบันนี้สินทรัพย์ของเรามีมูลค่ามหาศาล ทุกตารางนิ้วของคริสตจักรโยอิดมีค่าราวกับทองคำ หลังจากที่ซื้อที่ดินของคริสตจักรไม่นาน ผมก็ทำสัญญากับบริษัทสถาปนิกและเราก้มีพิธีขุดดินเริ่มสร้างอาคาร วันนั้นอากาศหนาวและลมแรง มีหิมะตกประปราย อากาศในวันนั้นดูเหมือนจะพยากรณ์อนาคตของผม


4 ปีต่อมาผมหมดปัญญาหลายร้อยครั้งในเรื่องการสร้างคริสตจักร เพราะไม่มีเงินสดจ่าย หลายครั้งหลายหนผมถามพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นนิมิตจริงๆหรือเปล่า?” ถ้าคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับนิมิตของคุณ คุณก็มักจะมีคำถามเช่นนี้เกิดขึ้นในใจเสมอ
ในขณะที่ สถานการณ์ดูเหมือนหมดหวัง ทุกๆอย่างดูเหมือนมืดมนหมดหนทาง พระเจ้าดเหมือนอยู่ห่างไกลไปหลายล้านไมล์ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งผมแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญด้านก่อสร้างบอกผมว่าถ้าคุณไม่ทำต่อในเร็วๆนี้ เราจำเป็นต้องทุบทิ้ง เพราะสภาพผุกร่อนของมันทุกคืนผมนั่งอยู่ใต้ตัวตึกนั้นและอธิษฐานว่า ข้าแต่พระบิดา ขอให้ตึกนี้พังลงมาทับข้าพระองค์ ขอให้สถานที่นี้กลายเป็นหลุมฝังศพของข้าพระองค์เพื่อข้าพระองค์จะได้ไม่ต้อง ชดใช้หนี้สินอีกต่อไป
     
ผมไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครนอกจากพระเจ้า ผมวิงวอนต่อพระองค์ว่าข้าพระเจ้า พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ทำเช่นนี้จริงๆหรือ?”และพระองค์ก็ยังคงยืนยัน ครั้งแล้วครั้งเล่าว่านิมิตนั้นมาจากพระองค์เอง เมื่อคุณกำลังตกอยู่ในการทดลอง อย่าแปลกใจที่เพื่อนของคุณหลายคนกลายเป็นเหมือนเพื่อนของโยบ


เมื่อเพื่อนของผมมาหาผม พวกเขาพูดว่า โช ความฝันของคุณยิ่งใหญ่หวังว่าพระเจ้าจะทรงช่วยคุณด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง พวกเรารู้สึกเสียใจกับคุณด้วยจริงๆ
เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้าเราไม่มีพระเจ้า นิมิตของผมตายไปหลายครั้ง แต่พระองค์ก็ทรงทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาอีกและในปี 1974 คริสตจักรก็สร้างเสร็จสมบูรณ์


ขอพระเจ้าเสริมกำลัง

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

คำพูดที่คริสเตียนควรพูดในคริสต์จักร

"โบสถ์ของเราน่าจะมีการจัดประชุมอธิษฐานวิงวอนอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง"

(การอธิษฐานคือพลังต่อสู้กับวิญญาณที่ต่อต้านพระคริสต์ l นี่คือสิ่งเดียวที่คริสจักรจะใช้ในการต่อสู้ แต่คริสเตียนส่วนใหญไม่อยากทำ)

"ทีมนมัสการของเราทำได้ดีมากนะ ขยันฝึกซ้อมและทำให้การประชุมของเราได้รับพระพรมากๆ"

"ขอบคุณท่านอาจารย์ ศิษยาภิบาลที่การเทศนาของท่านมีการปลดปล่อยของพระเจ้า"

"ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากของอาจารย์ที่อุตส่าห์สอนพวกเราจนเป็นคริสเตียนที่ดี"

"ขอบพระคุณพระเจ้าที่คริสตจักรของเรามีผู้รับใช้ที่กล้าสอนอย่างตรงไปตรงมา และทำให้พวกเราได้รู้จักความจริง จนพวกเรามีชีวิตที่เป็นพระพระอย่างแท้จริง"

"มีปัญหาอะไรขัดข้องหรือ มีอะไรให้ช่วยไหม"

" มีพี่น้องคนไหนต้องการให้อธิษฐานวางมือ สำหรับความไม่สบายบ้างครับ เราไม่อยากให้ท่านมาหาพระเจ้าผู้เป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ แล้วยังกลับไปบ้านแบบคนป่วย"

"หากพี่น้องต้องการคำอธิษฐานเผื่อ กรุณาโทรหาทีมอธิษฐานได้ทุกเวลานะครับ"

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553

คำพูดที่ผู้รับใช้พระเจ้า/คริสเตียนที่ดีไม่ควรให้มันเป็นที่ได้ยิน-2


คำพูดที่ผู้รับใช้พระเจ้าไม่ควรพูด

"อย่าบอกให้พี่น้องรู้นะว่าผมไม่ชอบพวกเขา"
(การเก็บซ่อนความเกลียดชังยังเป็นสิ่งดีสำหรับผู้นำฝ่ายวิญญาณหรือ)

"อนุชนไม่ต้องออกความเห็นหรอก เพราะพวกเธอยังไม่มีความคิดอะไร"
(การคิดเห็นว่าอนุชนเป็นเด็กไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของเขา เราจะไม่ได้ใจ ได้ตัวเขาในการทำงาน และต่อไปพวกผู้ใหญ่ก็จงนมัสการไปเองเถอะพวกเด็กๆ คงไม่มาแล้ว)

"ไครไม่อยากมาโบสถ์ก็ตามใจมัน มันกำลังตกต่ำอีกหน่อยพระเจ้าจะลงโทษมันเอง"
(ความรักของผู้นำอยู่ไหน - ส่งคนไปติดตามเขาหรือยัง)

"คนขี้เหล้า พวกมาโบสถ์สาย คนไม่เอาถ่าน ช่างมันเถอะ พวกนี้เป็นแค่ขอนไม้ในคริสตจักร"
(ทุกคนเสริมสร้างได้นะอย่าลืม - คนติดเหล้าทำไมไม่เชิญพวกเขามารับการปลดปล่อยล่ะ มีใครอยากเป็นทาสบ้าง)

"พวกผู้ปกครองดีแต่กินเหล้ากัน"
(เขากินเหล้ายังบังอาจเลือกเข้ามาเป็นผู้ปกครอง คนเลือกนั่่นแหละ ตาฟาง ตาถั่ว ไม่เห็นแสงสว่างเอาเสียเลย"

" อาจารย์ไม่ต้องทำหรอก ประกาศข่าวประเสริฐน่ะ เราเคยทำมาแล้ว เสียเงินไปเปล่าๆ ไม่ได้ผลหรอก"
(ไม่มีความเชื่อเอาเสียเลย เสียชาติที่เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า -การรบบางครั้งต้องเข้าตีหลายครั้งเมืองจึงจะแตก)

"ถวายทรัพย์ให้มากๆ นะ เดี๋ยวคริสตจักรของเราจะสร้างอาคารหลังใหม่เพิ่มเติมอีก ปีนี้เราไม่ต้องประกาศหรอกนะ เสียเงินเปล่าๆ สร้างตึกดีกว่า ผลงานเด่นชัดดี ยุคหน้าขอเลือกพวกผมเป็นกรรมการบริหารอีกนะ"

" พวกสมาชิกอย่าไปฟังโบสถ์คณะอื่นมันสอนนะ มันสอนผิด เดี๋ยวพวกเราจะรู้มากแล้วจะหนีออกไปจากโบสถ์ มาเป็นทาสอยู่กะที่เก่านี่แหละ -เกิดที่นี่ก็ตายที่นี้ อย่าไปไหน ถึงโตแล้วก็อย่าไปไหน ให้มานั่งฟังที่นี้จนตาย"

"ใครอยากไปสวรรค์ยกมือขึ้น ให้ถวายสิบลดเยอะๆ นะ"
(คริสเตียนเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ไปสวรรค์ด้วยการทำความดี หรือการให้ทาน)

"สมาชิกทุกคนต้องถวายสิบลดนะ ใครอยากมาเป็นสมาชิกของผมต้องถวายสิบลดเท่านั้น"
(โอ้โหอาจารย์ เอ๋ย ท่านยังไม่ได้หว่าน ไม่ได้ปลูก ไม่ได้ใส่ปุ๋ย ยังไม่ได้ดูแลอะไรจะเก็บผลประโยชน์ท่าเดียว ไม่น่า...ไปหน่อยหรือจ๊ะ)

" ทุกคนต้องฟังผมนะ เพราะผมเป็น ศบ. "
(โอ้ทารกน้อย เจ้าไม่รู้หรือว่า ศบ. มันคือตำแหน่งที่นายยกให้เจ้าเท่านั้น เจ้าต้องสร้างบารมีก่อนแล้วค่อยอ้างคำนี้ ถ้าเจ้ายังเป็นแค่ นักศึกษาจบศาสนศาสตร์มาใหม่ๆ เจ้าต้องเงียบๆ ไว้"

ผมได้ยินคำๆ ว่า "ผมเป็น ศบ." ทีไร ผมจักกระเดียมมาก เพราะผมเห็นคนที่เรียนสูง ทฤษฏีเต็มหัว ทำงานในคริสตจักรยังไม่มีประสบการณ์ กลับใช้คำๆ นี่ ในการขมขู่คนให้ทำตามตนเอง บางคนใช้คำนี้ขู่คนอื่น ไม่ว่าจะมีอาวุโส หรือไม่มีอาวุโส หรือใครๆ ให้ฟังตนเอง ให้ทำงานเพื่อสนองนโยบาย ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของตน ผมคิดว่าคนโง่เท่านั้นที่พูดแบบนี้ เพราะผู้นำในฝ่ายวิญญาณเขาไม่ได้บังคับ บัญชากันแบบตำรวจทหาร ไม่สามารถชี้นิ้วสั่งใครได้ เพราะเป็นแค่ตำแหน่งอุปโหลก ถ้าท่านอ้างแบบนี้บ่อยๆ ในการสั่งการ ในการบริหารงานโบสถ์ เดี๋ยวท่านก็ต้องเทศนาให้ทหารอากาศที่นั่งเก้าอี้ในโบสถ์ ฟังไปอีกกี่ชาติก็ยังไม่รู้ " หยุดโง่ได้แล้ว "ผมเป็น ศบ."
.........................................................................
เมื่อผู้นักการศาสนามีการชุมนุมกัน เขามักจะพูดคุยถามทุกข์สุขกัน สิ่งที่นักการศาสนาลูกจ้างไร้สมองชอบพูดกันคือ คำอีกคำหนึ่งคือ

" เดี๋ยวนี้มีคนมาสอนเท็จนะ เขาหลอกเอาสมาชิกของผมไปหลายคนแล้ว" คนที่หนึ่งเอ่ยขึ้น

" อ้าว มีเหมือนกันเหรอ ของผมก็หายไปหลายคนแล้วนะ ไม่รู้มันสอนอะไร" คนที่สองตอบ

" เออ มันสอนให้คริสเตียนถือศีลอด มันให้คริสเตียนออกประกาศ มันให้ไปแจกไปปลิว มันขับผีด้วย" คนที่หนึ่งว่าต่อ
" เอ๋ให้พวกนี้มันมาจากไหนนะ ทำไมมันขับผีได้ คริสเตียนไม่มีผีนะ มันทำไมขยันจัง แล้วพวกเรานี้ งอมืองอเท้ามากี่ปีแล้วไม่ไปไหนเลย" คนที่สองสวนขึ้น

" งั้นเราต้องช่วยกันบล๊อคได้พวกนี้ เพราะมันประกาศเกิดผลแบบนี้ เดี๋ยวสมาชิกเราหลุดไปกับมันนี่ เราแย่นะ ข้อหาที่เราจะให้มันคือ "พวกนี้สอนเท็จ" "พวกอธรรม" "นอกรีต "
ทั้งสองคนช่วยกันสรุป

นักการศาสนาคุยกับผู้ดูแลโบสถ์

"พวกลัทธิเทียมเท็จ พวกมันสำแดงการอัศจรรย์ตามที่มีพระคัมภีร์เขียนว่า จะมีพวกอ้างนามของพระเยซูทำการอัศจรรย์ "

แล้วพระเจ้าที่ท่านนับถือเป็นองค์จริงหรือองค์ใดกันแน่ ไม่เ็ห็นท่านทำการอัศจรรย์อะไรเลย"

.... นักการศาสนาพวกนี้มัวแต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่สนใจงานพระเจ้า ทำงานไม่เป็น หูเบา คอยฟังแต่คำยุแหย่ของมารให้แตกแยกกัน วันๆ มุ่งแต่ศึกษาคัมภีร์ ไม่ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ประสานงาน ไม่ร่วมมือกับใครในการจัดการประกาศใหญ่ทุกๆ เดือน หน้าที่สำคัญคือ ปกป้องเก้าอี้ ปกป้องอาณาจักรที่กว้างใหญ่มหาศาลเท่ากะลามะพร้าวจัมโบ้ผ่าซีก แทนที่จะช่วยกันส่งเสริมงานของพระเจ้า พวกมันกลับคอยฟังข่าวลือ คำนินทา และคอยจับผิดคนอื่นว่าเขากำลังทำอะไรกัน พวกเขาเลยไม่มีเวลาสร้างคริสเตียนให้เป็นสาวก ให้เดินด้วยสิทธิอำนาจ พวกเขามุ่งสร้างคนให้เป็นคริสเตียนก้นออกราก เป็นพวกนักสะสมความรู้ทางคัมภีร์โบราณ ผ่านเป็นสิบปี ยี่สิบปี ลูกแกะของพวกเขายังเป็นแค่ คริสเตียนเบบี้ ทำอะไรไม่เป็น ...
น่าอายจริงๆ ....



"..." นี่คือข้อที่น่าคิดหรือไม่...

คำพูดที่ผู้รับใช้พระเจ้า/คริสเตียนที่ดีไม่ควรให้มันเป็นที่ได้ยิน


"วันนี้ผมยังไม่พร้อม" (ผู้นำต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ สำหรับการสั่งสอนไม่ใช่หรือ)

"พอดีกระทันหันไม่ได้เตรียมคำเทศนาเลย"
(ห่างเหินการศึกษา ไม่รู้จักจดบันทึก ไม่เตรียมพร้อม ไม่มียุ้งข้าว ท้องจะแห้ง)

"วันนี้ผมมานำนมัสการแทนภรรยาเพราะเธอไม่พร้อม/ป่วย ไม่ได้เตรียมมา"
(ทะเลาะกับเมีย เมียงอน มาทำหน้าที่โดยไม่เตรียมตัวมา)

ขณะที่จะต้องเทศนาแล้ว ท่านพูดว่า
"เดี๋ยวให้ผมเปิดหาข้อพระธรรมสำหรับหนุนใจพี่น้องก่อน"
(ไม่มีการเตรียมตัว สุกเอาเผากิน)

"อะไรกันเพิ่งจะเทศน์ไปไม่กี่วันจะให้เทศนาอีกแล้วหรือ"
(เป็นคนชอบเกี่ยงงาน ไม่รักงาน ทำหน้าที่ให้พ้นๆ ไปเท่านั้น)

"ทำไมไม่ให้คนอื่นทำบ้าง ทุกครั้งใช้แต่ผม/ดิฉัน" 
(ฉันทำงานหนักกว่าคนอื่นไม่ได้ ฉันไม่อยากได้พระพรมากกว่านี้)

"พี่น้องที่มาวันนี้ ยินดีต้อนรับ เออ ชื่ออะไรนะ ผมจำไม่ได้แล้ว"
(ไม่รู้หรือว่า ไม่มีใครอยากเป็นคนถูกลืม  ไม่มีใครชอบ)

"อะไรกัน คนเยอะขนาดนี้ทำไมไม่บอก ผมจะได้เตรียมเทศนาได้ถูกต้อง"

(นักเทศนาที่กลัวคนจำนวนมาก ไม่ใช่ลักษณะของผู้รับใช้พระเจ้าที่ดี -เราต้องพร้อมเสมอ)

"พระธรรมอะไรนะ จำไม่ได้แล้ว"
(จำไม่ได้ทำไมไม่จดมาล่ะ  หัดท่องพระคัมภีร์เสียบ้างซิน้อง เมื่อไดจะเจริญ)

"วันนี้ผมจะเทศนาเหมือนคราวก่อนเพราะพี่้น้องมีพฤติกรรมเหมือนเดิม ผมก็จะเทศนาคำเดิม"
(การตอกย้ำ จุดอ่อนไม่สร้างสรรค์อะไร - การเทศนาที่ไม่เตรียมคือการดูถูกคนฟังอย่างร้ายแรง: คนตั้งเป็นร้อยมานั่งฟังคนพูดเพ้อเจ้อไม่เตรียมตัวอะไรมาเลย)

"ให้หัวหน้าเซลไปศึกษาบทเรียนเอาเองแล้วนำไปสอนในเซลทุกๆ อาทิตย์" (หัวหน้าเซลต้องกินอาหารจากผู้นำเท่านั้นและเมื่อเข้าใจดีแล้วจึงนำไปถ่ายทอดได้ดี)

"โบสถ์นี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว พี่้น้องไม่ทำก็ไม่ทำ"
( ไม่รักกันจริง ไม่สร้างความรู้สึกร่วมในทางที่ดี)

"ต่อไปอย่าแต่งตัวแบบนี้มาโบสถ์นะ"
(พระเจ้าสนใจจิตใจมากว่า เครื่องนุ่งห่มภายนอก-สำหรับคนที่ยังอ่อนความเชื่อให้ค่อยๆ สอนเขาดีกว่า)

"มาฟังเทศน์มัวแต่นั่งหลับ ไม่ตั้งใจฟังเลย"
(ก็ทำไมอาจารย์ไม่เทศน์ให้มันน่าฟัง ตื่นเต้นกว่านี้ล่ะ)

"ต่อไปให้พวกเราถวายสิบลดอย่างสัตย์ซื่อนะ"
(แล้วผู้นำและครอบครัวถวายหรือเปล่า- ผุ้นำต้องทำเป็นตัวอย่าง)

"ทำไมพวกผู้ปกครองไม่ชอบมาเรียนพระคัมภีร์ล่ะ"
( ก็ให้เขานั่งเรียนกับอาจารย์มาหลายปี ไม่เห็นอาจารย์พาไปประกาศนอกโบสถ์เพื่อจะได้ใช้วิชาที่เรียนมาเลย - มีนักมวยโง่ที่ไหนที่เจ้าของค่ายให้เตะกระสอบจนขาดหลายใบแล้วไม่พาไปชกล่ะ)

ยังมีต่อ ...ช่วยกันเขียนหน่อย ...