หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พ่อโต๋ นักดนตรีเอก เชื่ออะไร

ชายคนเดียวกันนี้ คนรุ่นหนึ่งเรียกเขาว่า “พี่ต้อง แกรนด์เอ็กซ์” แต่คนยุคนี้รู้จักเขาในนาม "พ่อโต๋-ศักดิ์สิทธิ์” ชายคนเดียวกันนี้ผูกพัน กับดนตรีมาทั้งชีวิต แล้วยังถ่ายเลือดศิลปินเต็มขั้นให้กับลูกชายคนเก่ง เขาเรียกพรสวรรค์ทางคีตศิลป์นี้ว่า "ของขวัญจากพระเจ้า"




หากร้องเพลงรักในซีเมเจอร์ “แอบรักเธออยู่ในใจ เก็บหัวใจไว้ที่เธอ…” ได้จนจบเพลง คงไม่ต้องบอกว่า นคร เวชสุภาพร เป็นใครหนอ?

แต่คนที่เกิดมาช้าไปสักหน่อย คงอยากจะสัมผัสตัวตนผู้ชายคนนี้ มากกว่าเป็นผู้ให้กำเนิดศิลปินหนุ่มหน้าใสแก้มป่อง “โต๋-ศักดิ์สิทธิ์”



อดีตหนุ่มฮฮตแห่งวงการเพลงสตริงเมืองไทย ผู้มีส่วนสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับวงดนตรีรุ่นเก๋า "แกรนด์เอ็กซ์" วงดนตรีแบบสตริงที่มีค่าตัวแพงที่สุดในยุคนั้น เรียกเสียงกรี๊ดและชื่นชมจากแฟนเพลงวัยรุ่นไทย จนยอดคนดูคอนเสิร์ตแน่นเอี้ยดทุกรอบด้วยชั้นเชิงดนตรีขั้นเทพ

ก่อนที่ “ต้อง แกรนด์เอ็กซ์” จะก้าวมาเป็นศิลปินชื่อเสียงโด่งดัง ผู้ชายคนนี้คลั่งไคล้ดนตรีมาตั้งแต่อายุ 15-16 ปี โดยเลือกเล่นกีตาร์ ซึ่งมีราคาแพงและฝึกเล่นได้ยาก แต่หัวใจของหนุ่มน้อยก็ส่งเสียงว่า มันเป็นเครื่องดนตรีที่อยากจะเล่นมากที่สุด เพราะอารมณ์ "ติสท์" รู้สึกชอบอย่างไม่มีเหตุผล หรือ พระเจ้าประทานให้ก็เป็นได้

จากเด็กหนุ่มเล่นกีตาร์โซโลคนเดียว ก็ชักชวนเพื่อนๆ วิทยาลัยบพิตรพิมุขมาร่วมก๊วนตั้งวงดนตรีจนคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศ และขวัญใจสื่อมวลชนจากเวทีประกวดดนตรีสตริงคอมโบมานอนกอด แล้วออกเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตด้วยสไตล์เฮฟวี่ร็อก บ้างเปลี่ยนแนวเป็นป๊อปปูล่ามิวสิก จนกระทั่งออกอัลบัมถึง 19 ชุดทั้งแนวดิสโก้และเปลี่ยนสไตล์ดนตรีที่หลากหลาย

ในนักวิจารณ์เพลงหลายสำนัก ยกย่องว่าแกรนด์เอ็กซ์ไม่มีขีดจำกัดในการ สร้างผลงาน และทุกเพลงที่กลั่นออกมานั้นเป็นงานเพลงบริสุทธิ์ ไม่มีพิษไม่มีภัยกับนักฟังทุกเพศทุกวัย เนื้อหาและดนตรีสวยงาม ฟังสบายหู โดยเฉพาะการเรียบเรียงดนตรีให้เพลงมีสีสันแพรวพราวน่าฟัง

หัวหน้าวง บอกว่า ความสำเร็จที่เกิดกับแกรนด์เอ็กซ์เมื่อสามสิบปีก่อน ล้วนเกิดจากความพิถีพิถันในผลงานทุกชิ้น รวมถึงความประณีตในการแต่งเพลง เล่นสด บันทึกเสียง มิกซ์เสียง เพื่อให้งานเพลงมีคุณภาพมากที่สุด และก่อนแสดงทุกครั้งพวกเขาจะซ้อมดนตรีกันหนักหน่วง เพื่อให้การเล่นคอนเสิร์ตสนุกสนานเต็มที่สามารถสะกดใจผู้ชม และสร้างเสียงตอบรับที่ดีได้

อีกทั้งการวางตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับแฟนเพลง ซึ่งพวกเขามีแนวคิดกันว่า คนที่สนับสนุนแกรนด์เอ็กซ์จริงๆ ไม่ใช่พวกแฟนเพลงเด็กๆ แต่คือพ่อแม่ของพวกเขาต่างหาก สมาชิกทุกคนจึงต้องช่วยเตือนน้องๆ ในเรื่องการเรียน และทำตัวให้พ่อแม่รู้สึกวางใจแกรนด์เอ็กซ์

เมื่อหนทางชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ชะตากรรมของแกรนด์เอ็กซ์จึงต้องเผชิญกับ อุปสรรคและความท้าทายอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการถอนตัวของนักดนตรีที่อาจทำให้ผลงานสะดุด นคร ในฐานะหัวหน้าวงพยายามหาทางออกให้กับปัญหาด้วยวิถีศิลปิน

"บางครั้งเมื่อปัญหาเข้ามา ต้องไปดูว่าปัญหาจริงๆ คืออะไร เราต้องเคารพการตัดสินใจของเพื่อน หากจะเปลี่ยนคน เปลี่ยนตำแหน่ง ให้มองเป็นเรื่องปกติ เราก็พยายามหาเด็กใหม่เข้ามา จะทำตัวเป็นแมวมองไปดูการแสดงของเขา แล้วคิดว่าชอบ เล่นดี ก็ชวนมาซ้อมด้วยกัน ให้ถือเป็นการสะสมประสบการณ์ไปในตัว ส่วนธุรกิจก็ทำให้เป็นไปตามขั้นตอน และใช้หลักการความเป็นเพื่อน ความรักของเพื่อนและความจริงใจ เข้าแก้ปัญหา อะไรผ่านได้ คุยกันได้ ปัญหาก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี"

พระเจ้าเปลี่ยนชีวิต

กำลังโลดแล่นในแสงสีเสียงนานกว่าสิบปีอยู่ดีๆ ชีวิตของชายหนุ่มผู้พลิกตำนานวงการเพลงสตริงเมืองไทย ก็ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จากผู้นำความสนุกสนานรื่นเริงมาเป็นผู้นำสันติสุขนิรันดร์ เมื่อเข้ามาสู่บ้านของพระเจ้า

นครเล่าถึงเหตุผลที่เปลี่ยนจากพุทธมาเป็นคริสต์ เกิดจากภาวะรุมเร้ารบกวนจิตใจ จากกรณีพ่อป่วยนอนอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนแม่ป่วยก็เป็นมะเร็ง ตัวเขาเองก็มาเป็นภูมิแพ้ เช่นเดียวกับลูกชายทั้งสองคน คือโต๋ และเต๋-พรรศักดิ์

วันหนึ่งมีคนมาพูดเรื่องพระเยซูให้เขาฟัง ว่าพระองค์ช่วยได้ไม่ว่าปัญหาอะไร

“ด้วยความที่ไม่รู้จะไปหาใครอีกแล้ว ก็ลองที่บ้านเราเองเลย ไม่ได้ไปที่โบสถ์หรือทำพิธีอะไร เพราะยังไม่เข้าใจ ไม่รู้จักอะไรเลย แต่ก็ลองพูดบอกกับท่านไปเฉยๆ พูดอยู่คนเดียว พูดในใจ จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่สวดมนต์ตามปกติ ก็พูดว่าถ้าพระเยซูมีจริงอย่างที่เขาพูดกัน ก็อยากรู้จัก ลองขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดู ด้วยความรักความหวังดีกับลูกและแม่ของเรา อยากให้พวกเขาหายจากความเจ็บปวด”

นคร ยังไม่ลดละที่แสวงหาทางออก เขาเหลือบไปเห็นพระคัมภีร์ (ไบเบิ้ล) เชื่อว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าอยู่ข้างเตียง เขาจึงตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอธิษฐาน แล้วสุ่มเปิดขึ้นมาจำได้ว่าหน้านั้นคือ ลูกา เล่าเรื่องตามหาแกะที่หายไปเพียง 1 ตัวจาก 99 ตัว แล้วแสดงความดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อหาเจอ แล้วบอกใครต่อใครว่าเจอแล้ว

“ใจความตรงนี้ทำให้รู้สึกราวกับว่า นี่คือสิ่งที่พระองค์กำลังบอกว่าเราคือ คนบาปที่หลงหายไปของพระองค์ เป็นเหรียญที่หล่นหาย เป็นแกะหลงที่พระเจ้าหาเจอ แล้วได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า ในใจรู้สึกอย่างนี้เลย เนื้อหาและคำต่างๆ เหล่านั้นมันตรงเข้าไปสู่ใจเรา เกิดความรู้สึกปีติ มันซาบซึ้งเข้าไปข้างใน จนน้ำตาไหลซึมออกมา”

ในครั้งนั้น มีคนชวนให้ทดลองไปที่คริสตจักรใจสมาน เขา ไม่รีรอที่จะก็ลองเข้าไปเชื่อและเข้าไปอยู่ในคริสเตียน แล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิด ช่วยทำให้อาการป่วยทั้งหลายของตัวเขาเอง และคนรอบข้างมลายหายเป็นปลิดทิ้ง

เขารู้ว่าศาสนาพุทธช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริง แต่อาจมีจริตไม่ตรงกัน ทำให้ยังไม่ได้คำตอบของชีวิต

ขณะที่เขากลับค้นพบความจริงว่า พระเยซูทรงมีตัวตนจริง สามารถมองเห็นด้วยตา และรับรู้ได้ด้วยจิตใจ คือรู้มาจากข้างใน จากจิตวิญญาณ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าพระองค์จะช่วยแบ่งเบาภาระได้ ทั้งยังบอกเป้าหมายแห่งชีวิต ทำให้รู้คำตอบที่ว่าเกิดมาในโลกนี้ทำไม

เมื่อเข้าไปศึกษาคำสอนในไบเบิ้ลมากขึ้น ยิ่งเรียนมาก ยิ่งรู้มาก ทำให้ใกล้ชิด สนิทกับพระเจ้า เกิดเป็นศรัทธาอันยิ่งใหญ่ เกิดสันติสุขในใจ จนมั่นใจได้ว่าตัวเราจะไปไหน และชีวิตเป็นนิรันดร์ ความตายไม่ใช่สิ้นสุด แต่เป็นต้นกำเนิดชีวิตใหม่

“ยิ่งศึกษายิ่งเห็นความจริงว่า มนุษย์เป็นคนบาป ช่วยตัวเองไม่ได้ พระเจ้าจึงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเยซู เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ ส่วนมนุษย์ก็มีสิทธิ์เป็นผู้รับ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เราแค่เอาส่วนที่เป็นของเรามาทำประโยชน์ ทำงานเพื่อรับใช้พระเจ้า”

นครบอกว่า การเข้าถึงพระเยซูคริสต์ ทำให้โลภน้อยลง เพราะรู้ว่าชีวิตมาอยู่เพียงชั่วคราว จึงไม่ยึดติดกับกิเลส ลาภ ยศ เพราะพวกมันไม่จีรัง ทุกคนมาทำงานเพื่อพระเจ้า เมื่อเสร็จการงานหน้าที่แล้ว ก็จะกลับไปอยู่กับพระเจ้า ทำให้มีความสุขที่จะอยู่กับผู้คนมากกว่า เพราะการอยู่ร่วมกันสอนให้รู้จักการให้อภัย เมตตา เหมือนพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคน และอยากให้พ้นทุกข์

เขาเล่าต่อว่า ได้รู้ถึงพระองค์ระดับหนึ่งสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ชนิดวันต่อวัน และยิ่งเปลี่ยนยิ่งเข้าใจแก่นแท้ว่า ชีวิตเป็นเพียงวิญญาณ ที่เห็นในกระจกนั้นเป็นตัวปลอม ตายแล้วก็ฝังลงดิน แต่วิญญาณของเราเป็นพันธนาการ ไปสู่สวรรค์สถาน ซึ่งจะรับร่างกายที่ไม่ทุกข์ ไม่มีบาปในรูปของกายทิพย์

“เชื่อในลักษณะนี้ทำให้มีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น มองไปถึงนิรันดร์ ที่ตั้งอยู่ในระยะไกล มองทะลุ หรือมองข้ามชอตไปถึงอนาคต จิตวิญญาณที่เชื่อในพระเจ้า จะสอนในสิ่งที่ถูกที่ควร ทำให้รู้จักรัก เสียสละ ขยันทำงาน แต่ไม่โลภ ไม่เอาเปรียบ ไม่อิจฉา ไม่คิดเคียดแค้น คิดว่าบาปนั้นเป็นศัตรู เราจึงไม่ทำสิ่งที่เป็นบาป อดทนได้มากขึ้น เห็นแก่ตัวน้อยลง หรือไม่ใช้สิ้นเปลืองมาก คริสต์ไม่ได้สอนให้หลุดพ้น แต่ทำให้พอเหมาะ เน้นไปทางชีวิตปกติ ธรรมชาติทั่วๆไป”

ผลจากความสบายใจ อบอุ่นใจทำให้ นคร สร้างวิถีชีวิตที่มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างได้ และยังเผื่อแผ่ให้ผู้อื่น เช่นเวลาเพื่อนโมโห ก็บอกให้รู้จักอภัย อธิบายให้เป็น ทำให้เป็นธรรมชาติ แล้วจิตใจก็จะเปลี่ยน ความคิดก็เปลี่ยน

หรือการส่งลูกชาย (โต๋) ไปบวชตั้งแต่ยังเล็กๆ เพื่อหล่อหลอมให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมดีๆ เขาจึงโกรธแค้นไม่เป็น ไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ โดยไม่ได้รู้สึกว่ามันคือวิถีของคนดี เพราะนี่คือเรื่องปกติธรรมดา มันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายาม

และไม่นานนัก นคร เวชสุภาพร ได้กลายเป็น ศิษยาภิบาล ของคริสต์จักรอภิสุทธิสถาน (โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์) เป็นผู้นำคนหลายร้อย หลายพันคนมาพบทางออกของชีวิตเช่นเขา

นครจะแบ่งเวลาดูแลครอบครัว และงานที่ปรึกษาฝ่ายการตลาดให้กับบริษัท ทีวี ไดเร็ก มาบริหารคริสตจักร คิดกิจกรรมในวันอาทิตย์ เป็นที่ปรึกษา เป็นกำลังใจ เวลาสมาชิกเดือดร้อน ร่วมประชุมกิจกรรมเผยแผ่ หรือสร้างความร่วมมือต่างๆ กับโบสถ์

ดนตรี..พรจากสวรรค์

ทุกวันนี้ นคร ยังเล่นดนตรีอยู่บ้างในเวลาก่อนนอน แต่เมื่ออยู่ในโบสถ์ เขาก็พร้อมสร้างเสียงเพลงที่ให้กำลังใจ เสียงเพลงที่เยียวยารักษา เสียงเพลงที่สรรเสริญพระเจ้าผู้นำเขาให้พบกับทางออกของชีวิต

อดีตหัวหน้าวงแกรนด์เอ็กซ์ อธิบายว่า เพลงเป็นแกนหลักของศาสนาคริสต์ เพลงเป็นชีวิตของคริสเตียน แยกออกจากกันไม่ได้

“อย่างเวลาเราได้ยินเพลงคริสมาสต์เรารู้ได้ทันที จินตนาการได้ถึงบรรยากาศท่ามกลางเสียงเพลง แต่ชีวิตคริสเตียนรู้และฟังตั้งแต่เด็กๆ จนคุ้นเคย เข้าโบสถ์อ่านพระคัมภีร์ ก็ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า หรือแต่งงาน วันเกิด เรียนหนังสือ ขอกำลังใจก็ร้อง แถมเพลงยังหลากหลาย ถ้าเริ่มฟัง ใช้ จำ และฝึกปรือก็จะลึกซึ้งเอง”

เหมือนที่มีคำกล่าวในไบเบิ้ลว่า “พระเจ้าเป็นบทเพลง”

พระเจ้าสอนให้รู้จักธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียน ขณะที่บทเพลงก็มาจากธรรมชาติ และบทเพลงยังทำให้มนุษย์รู้จักพระเจ้ามากขึ้น ถ้าจะกล่าวว่าพระเจ้ากับบทเพลงเป็นสิ่งเดียวกันก็ไม่ผิด

ไม่เพียงเท่านั้น ดนตรีหรือบทเพลง ยังเป็นพรสวรรค์พิเศษที่มนุษย์ได้รับมาจากพระเจ้า ซึ่งจะได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะประทานของพิเศษให้ผู้ใด เช่นโชแปง, เซบาสเตียน บาค หรือ อะมาดิอุส วูลฟกัง โมสาร์ท ที่มีความสามารถตราตรึงใจคนทั่วโลก

แม้จะพูดในเชิงวิทยาศาสตร์ว่าพรแสวงสำคัญ ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่เด็ก มันก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เขาเชือ่ว่าต้องมีพรสวรรค์ประกอบอยู่ดี

“ผมเชื่อว่าพรสวรรค์สำคัญกว่าพรแสวง เพราะมันคือสิ่งที่ธรรมชาติให้มา จะไปได้ดีและเร็วกว่า แต่ถ้าไม่ได้พรวิเศษมา เราก็เอาวิธีการของพระเจ้าเป็นหลัก ดำเนินไปตามวิธีของท่าน ซึ่งถือเป็นพรแสวงที่ได้จากพระเจ้าเหมือนกัน”

ยกตัวอย่าง ลูกชายทั้งสองคนเป็นคำอธิบายว่า โต๋ คือผลิตผลของพรสวรรค์อย่างแท้จริง เพราะเขาจะคิดเป็นโน้ตเพลงอยู่ในหัวตลอดเวลา และสร้างสรรค์ผลงานที่ดีออกมาได้ แล้วยังส่งต่อพัฒนาการด้านอื่น ทำให้เรียนภาษาจีนได้เร็ว เพราะเป็นภาษาตัวโน้ตเหมือนกัน

ส่วนเต๋ ลูกชายคนเล็ก แม้พรสวรรค์จะไม่มีผลเท่าใดนัก แต่พรแสวงก็ทำให้เขาเห็นประโยชน์ของดนตรี เขาชอบตีกลอง และร้องเพลงได้ แต่สนใจที่จะทำธุรกิจมากกว่า

“เราต้องพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ทำได้ดีแค่ไหน เอาแค่นั้น เพราะพระเจ้าจะใช้คนตามของที่ประทานให้ เมื่อได้มามาก ก็ต้องทำให้มาก โต๋จึงเหนื่อยกว่าคนอื่นๆ แต่เขาก็มีความสุขที่ได้ทำ”

และความรักในดนตรี ก็ทำให้เนื้อในใจความของบทเพลงที่กลั่นกรองออกมานั้น อบอวลไปด้วยความรักเช่นกัน

เพลงรักอันซาบซึ้งใจล้วนได้แรงบันดาลใจจากพระเจ้า เพราะความรักเชื่อมั่น ศรัทธาในพระเจ้า ทำให้บทเพลงนั้นลึกซึ้งกว่าความรักที่มนุษย์ให้กันเอง

“คริสต์ ทำให้ชีวิตมนุษย์ละเอียดขึ้น พระเจ้าเปลี่ยนเรา เปลี่ยนชีวิตได้จริง เป็นคำตอบทุกปัญหา จะผ่านปัญหาไปได้อย่างอัศจรรย์ พระองค์นั้นเป็นคำตอบได้จริง” นครกล่าวย้ำถึงสัจจะแท้แห่งชีวิต

โดย : ชฎาพร นาวัลย์
Link: http://www.bangkokbiznews.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ