หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความเข้าใจเกี่ยวกับผีของคนไทย Knowing Thai beliefs in Spirits and Demons.

มหาธรรม เรื่อง การเลี้ยงผี บูชาเทวดา รับขันธ์ องค์ใน ต่างกันไฉน

มีคำกล่าวว่า รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ในบทความนี้ ผมไม่มีเจตนาจะส่งเสริมสถาบันผี หรือวิญญาณร้ายใดๆ แต่ต้องการเปิดเผยถึงสิ่งที่คนไทยเชื่อ คนไทยเรียนรู้ องค์ความรู้เกี่ยวกับผี ผมจึงขออนุญาตเจ้าของบทความเอามาลงไว้ตรงนี้ เพื่อประโยชน์ทางด้านการศึกษาเรื่องผีๆ ต่อไป

ประเพณี การเลี้ยงผี, บูชาเทวดา, รับขันธ์ และองค์ใน มีอยู่ในวัฒนธรรมไทย ที่มักถูกมองว่างมงาย แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณอย่างจริงจังกลับพบต่างไป ดังนี้



การเลี้ยงผี
คือ การไปหาผี หรือจิตวิญญาณที่ไม่สูงนักมาเลี้ยงเพื่อช่วงใช้ ปกติ คนไทยโบราณจะเลี้ยงผีอย่างแรกคือ ผีบรรพบุรุษ เพราะหาง่าย ไม่ต้องลำบาก ญาติที่ตายไปยังห่วงเราอยู่ก็จะอยู่ให้เราเลี้ยงดูและช่วยเหลือเราต่อไป สำหรับคนที่มีอาคมมากขึ้น ก็จะไปหาผีมาเลี้ยง เช่น ผีกุมาร, ผีลูกกรอก, ผีพราย, ผีตายโหง ฯลฯ ตามแต่กำลังอาคมจะเลี้ยงได้ การเลี้ยงผี มีสองลักษณะ คือ ลักษณะที่ปล่อยตามอิสระ และลักษณะที่ผูกมัดเอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง พวกที่ต้องผูกไว้มักดุร้าย เช่น ผีพราย พวกที่ปล่อยอิสระเพราะไม่ดุร้ายเช่น พวกผีบรรพบุรุษ สำหรับพวกที่ถูกผูกมัดไว้จะผูกมัดไว้ตลอดเวลาไม่ได้ เมื่อจะใช้งานก็จะเอาออกมา เรียกออกมาจากที่กักขังนั้น (ให้สังเกตคนเลี้ยงผีประเภทนี้ จะทำอะไรบางอย่างไว้ตามต้นไม้ใหญ่ที่เปลี่ยวๆ เช่น ป่าช้า หรือคนไม่ค่อยเข้าไปคือ เขาผูกผีไว้ที่ต้นไม้นั้น)

นอกจากนี้ ยังต้องปล่อยผีออกมาเพื่อไม่ให้ผีได้รับความกดดันมากจนคุมไม่ได้ เรียกว่า ปล่อยของ ซึ่งมักจะตรงกับวันเสาร์ห้า นอกจากนี้ ยังมีวันอื่นๆ แล้วแต่ครูบาอาจารย์จะกำหนดอีกด้วย การปล่อยของหรือปล่อยผีนี้ จะมีอยู่เป็นรอบๆ ระยะ เมื่อปล่อยออกมาทีไร ผีจะหากินเอง และทำร้ายผู้คนทำให้ผู้คนเจ็บป่วยและต้องไปหาคนรักษาให้ ซึ่งผู้ที่จะรักษาหายได้ก็มีแต่เจ้าของอย่างเดียว ดังนั้น คนรักษากับคนทำก็คือคนๆ เดียวกัน มีสุภาษิตว่า วัวใคร เข้าคอกคนนั้น ผีก็เหมือนกันอย่างนั้น ออกมาจากไหน ก็กลับที่เดิม

          แหล่งที่มาของผี
1.     ผีบรรพบุรุษเราเองที่ตายลงไปแต่ยังไม่ไปเกิดยังภพภูมิอื่น เช่น ผีปู่ย่า-ตายาย
2.     ผีที่ตกทอดสืบกันมาจากปู่ย่าตายายเป็นมรดกให้เลี้ยงต่อ เช่น ผีฟ้าพญาแถน
3.     ผีที่ได้จากการไปหา ไปทำมา ด้วยอาคมของผู้เรียนคุณไสย เช่น ผีพราย, กุมาร
4.     ผีที่ได้จากคนใกล้ตาย เรียกว่า ผีฝาก หรือฝากผีฝากไข้ คนใกล้ตายจะให้ผีมา
5.     ผีที่ได้จากการปลดปล่อยวิญญาณสัมภเวสีที่ตกค้างยังที่ต่างๆ ตามมาอยู่ด้วย

การเลี้ยงผีนี้ ข้อสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องระวังไม่ให้ ผีเข้าตัวเอง ผีทุกชนิดอยากได้ร่างมนุษย์มาก เมื่อเลี้ยงไม่ระวังมันจะเข้าตัวเอง แล้วทำให้มนุษย์ผู้นั้นมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ถึงขั้นบ้าหรือตายได้ ตามแต่กรรมของผีที่ทำมา ทำอย่างไรมา มนุษย์ก็จะได้รับกรรมนั้นร่วมไปด้วย ยกเว้นมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมขั้นสูงมากๆ ไม่ต้องกลัวเลย เพราะสามารถโปรดผีให้หลุดพ้นจากกรรมและอบายภูมิชั้นต่ำได้ ผีจะกลายเป็น เจตภูต หรือเทวดาประจำตัวต่อไป แบบนี้ ผีที่ไม่ค่อยจะดี กลายเป็นผีที่ดี และนำบุญบารมีมาเสริมตัวผู้เลี้ยงได้ด้วย

การบูชาเทวดา
คือ พิธีกรรมในการแสดงความศรัทธานับถือต่อเทวดา เพื่อให้เทวดาช่วยเหลือ หรืออวยพรให้มีความเจริญรุ่งเรือง ปกติจะทำมากในศาสนาพราหมณ์ แต่ในประเทศไทยก็มีอย่างแพร่หลายมาก การบูชาเซ่นสรวงเทวดา ถ้าทำแบบไม่รู้อะไรเลย คือ เป็นความหลง หรืออวิชชานั้น จะกราบไหว้อย่างไม่รู้ว่าตนไหว้อะไร เช่น ไปไหว้ตอไม้, ไปไหว้จอมปลวก ที่ไม่รู้เลยว่าที่เราไหว้นั้นเป็นอะไร แต่สำหรับพราหมณ์ที่เข้าใจ จะไหว้อย่างเฉพาะเจาะจงและมีความรู้ในเทวดาที่ไหว้นั้นๆ อย่างดีเช่น การบูชาพระพรหม, บูชาพระอินทร์การบูชานี้ จึงต่างจากการเลี้ยงผี เพราะการเลี้ยงผี ผีจะอยู่ด้วย และต้องดูแลตลอด แต่การบูชาเทวดานั้น เทวดาเป็นผู้มีบุญอยู่แล้ว ไม่ต้องเลี้ยงดูก็ได้ การเซ่นสรวงสังเวยด้วยอาหารและเครื่องไหว้ต่างๆ จึงเป็นเพียงเครื่องแสดงถึงความศรัทธาเพื่อเอาใจเทวดาเท่านั้น ก็มีการบูชาที่แตกต่างกันออกไป ทั้งรูปแบบ พิธีกรรมและเทวดาที่จะบูชา แต่ละองค์มีกิจ มีหน้าที่ๆ แตกต่างกัน ผู้บูชาจึงต้องมีความเข้าใจก่อนที่จะบูชา จึงจะสำเร็จสมปรารถนา

          แหล่งที่มาของเทวดา
1.     เทวดาที่อยู่ชั้นเดียวกันมนุษย์ คือ สวรรค์ชั้นที่หนึ่ง เช่น พระภูมิ, แม่ย่านาง
2.     เทวดาชั้นสูงขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งหกชั้น เช่น พระอินทร์, พระสยามเทวาธิราช
3.     จิตวิญญาณจากพรหมโลก ซึ่งไม่เรียกว่าเป็นเทวดา เช่น พระพรหม, พระศิวะ
4.     จิตวิญญาณที่สำเร็จธรรมหรือนิพพานแล้ว เช่น พระพุทธเจ้า, พระอรหันตเจ้า

การ บูชาเทวดาจะทำเป็นพิธีเป็นครั้งๆ แล้วจบกันไปแต่การเลี้ยงผีจะเลี้ยงดูอยู่ตลอดเวลา นี่คือ ข้อแตกต่างกันของการเลี้ยงผีและการบูชาเทวดา เช่น เมื่อเกิดภัยแล้งมากๆ มนุษย์อาจบูชาเทวดาบางองค์ เพื่อขอให้มีฝนตกลงมาบ้าง การบูชาเทวดาจึงมักดูเป็นพิธีใหญ่

การรับขันธ์
คือ การยอมเปิดรับพลังวิญญาณภายนอกให้เข้ามาสู่ร่างกายของเราได้ ซึ่งสองแบบแรกนั้น ยังอยู่นอกร่างกาย แต่ในกรณีนี้จะรับเข้ามาอยู่ในสังขารขันธ์ สิ่งที่รับมาคือ วิญญาณขันธ์ ซึ่งเทพพรหมชั้นสูงจะแบ่งกายทิพย์ออกมาครอบให้ เรียกว่า ครอบขันธ์ แล้วจะดลจิตดลใจเรา ควบคุมเรา จะขับดันเราให้เราทำสิ่งต่างๆ ตามแบบของท่าน ได้โดยที่ไม่ต้องมีการสอน การพูดกันเลย เรียกว่าทำได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้น คนที่นิยมไปรับขันธ์ จึงได้พลังพิเศษอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองมากนัก ซึ่ง การยอมให้สิ่งที่มองไม่เห็นเข้าไปอยู่ในร่างกายได้นี้ นับว่าเป็นความเสี่ยงเช่นกัน ถ้าสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ใช่เทพพรหม แต่เป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม เข้าแทรกแทน คนผู้นั้น แทนที่จะมีความเจริญดี กลับต้องพบกับความเสื่อมและหายนะของชีวิตในภายหลัง แม้ว่าช่วงแรกมันอาจหลอกให้เราคิดว่าทุกอย่างสำเร็จได้อย่างง่ายดายและรวด เร็ว แต่ภายหลัง จะกลายเป็นหายนะ

          แหล่งที่มาของขันธ์
  1. วิญญาณขันธ์ที่พรหมแบ่งภาคมาครอบให้ เช่น ขันธ์พรหม, ขันธ์ศิวะ, ขันธ์นาราย
  2. วิญญาณขันธ์ที่โพธิสัตว์แบ่งภาคมาครอบให้ เช่น ขันธ์พระกวนอิม, ขันธ์พระจี้กง

การรับขันธ์ส่วนใหญ่จะทำให้ต้องกลายเป็น คนทรง ที่ถูกขันธ์นั้นๆ ครอบ หรือทรงอยู่ ใช้ทำงานอยู่ คนทรงไม่ได้มีอภิญญาเป็นของตนเอง แต่เพราะวิธีนี้จึงมีฤทธิ์เดชขึ้นมาได้

การมีองค์ใน
คือ การยอมเปิดรับ จิตวิญญาณ ภายนอกให้เข้ามาสู่ร่างกาย เพื่อประกอบกิจการต่างๆ ร่วมกันอันจะนำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้ด้วยตัวเองคน เดียว ซึ่ง จะไม่ได้มาเพียงวิญญาณขันธ์ แต่จะมาทั้ง จิตวิญญาณ คือ มาเต็มองค์ และอยู่ประจำด้วย เรียกว่า เจตภูต ก็ได้ องค์ใน ก็ได้ หรือ เทพประจำตัว ก็ได้ การมีองค์ในนี้จะเริ่มต้นจากองค์เทพหรือเทวดาชั้นล่างก่อนเนื่องจากเทพหรือ เทวดาเหล่านี้มีพลังไม่มากพอที่จะแบ่งออกมาครอบขันธ์มนุษย์ เหมือนกับพรหมหรือโพธิสัตว์ได้ เช่น เจ้าพ่อเสือ, เจ้าแม่ตะเคียนทอง, พญานาค, ครุฑ ฯลฯ นี่เป็นเทวดาชั้นที่หนึ่ง ที่อยู่ติดกับโลกมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีเทพชั้นสูงๆ ขึ้นไป เช่น เทพนาจา, เทพกุมารทอง ฯลฯ ที่มาจากสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป ก็สามารถเข้ามาเป็นเทพประจำตัวหรือองค์ในของมนุษย์ที่มีบารมีมากขึ้นได้ ในบางท่านมีบุญบารมีมาก องค์ในเป็นขั้นพรหมหรือพระโพธิสัตว์เลยก็มี อนึ่ง การมีองค์ในนี้ เป็นความเสี่ยงเหมือนกัน คือ จิตวิญญาณที่เข้ามาเสริมบารมีเรานี้ไม่เที่ยง มีจรเข้าออกจากร่างกายเราได้ เมื่อเราเสียองค์ในที่ดีไป อาจถูกแทรกแทนด้วยจิตวิญญาณชั้นต่ำได้ ดังนั้น การประพฤติปฏิบัติตน จึงต้องมีความดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ประมาทไม่ได้ ความประมาทนั้น ก็อาจนำพามนุษย์ไปสู่หายนะอย่างคาดไม่ถึง แต่ในคนที่ปฏิบัติธรรมเนืองๆ และมีธรรมในตนดีแล้ว ต่อให้มีจิตวิญญาณที่ไม่ดีแทรกเข้าตัวก็สามารถกลับร้ายกลายเป็นดีได้ ทำให้จิตวิญญาณชั้นต่ำกลายเป็นจิตวิญญาณชั้นสูงขึ้นได้ ในหมอผีที่ไม่ดีบางคน เรียกผีเข้าคน หากคนผู้นั้นมีธรรมก็สามารถโปรดผีตนนั้นให้หลุดพ้นได้
-จบ-    
มหาธรรม เรื่อง องค์ในที่เป็นคู่ปรับกัน

องค์ใน คือ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มาประจำอยู่ในกายสังขารเพื่อดูแลมนุษย์นั้นๆ หรือเรียกว่า เทพประจำตัว ก็ได้ ซึ่งคนเรามีบุญบารมีต่างกัน จะมีองค์ในหรือเทพประจำตัวต่างกัน ในฮ่องเต้จีน จะมีองค์ในเป็น มังกร แต่สำหรับพระราชาของประเทศไทยที่มีใจคิดดูแลพระพุทธศาสนา (หรือประเทศอื่นที่เป็นที่สถิตของพระพุทธศาสนา) พระราชาจะมีองค์ในเป็น พระอินทร์ หรือที่คนจีนนับถือกันในนาม เง็กเซียนฮ่องเต้ องค์นี้จะมีบุญบารมีมากกว่ามังกร ส่วนในบางประเทศผู้นำจะมีองค์ในเป็น พญายม หรือพญาเจ้าแห่งยักษ์ทั้งหลาย หนึ่งในสี่เท้าจตุโลกบาลนั่นเอง ซึ่งพญายมจะมีอิทธิฤทธิ์น้อยกว่ามังกร มีบุญบารมีน้อยกว่าพระอินทร์ มนุษย์ที่มีองค์ในต่างกัน ก็ย่อมส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตที่แตกต่างกัน คนที่มีองค์ในเหนือกว่าอีกคนย่อมต้องประสบความสำเร็จเหนือกว่า คนเราจะชนะหรือพ่ายกัน ก็ให้ดูที่องค์ในนี้เป็นสำคัญ ต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างคู่ปรับองค์ใน

เทพไก่เป็นคู่ปรับจิ้งจอกเก้าหาง
จิ้งจอก เก้าหางเป็นสัตว์อัปมงคล เมื่อปรากฏแล้วย่อมนำความวิบัติมาส่าบ้านเมืองหรือผู้มีอำนาจได้ เป็นสัตว์ที่ทำหน้าที่ภาคทำลายล้าง เปลี่ยนแปลงให้สิ่งที่มีอยู่เดิมล่มสลายลงไป จิ้งจอกเก้าหางมีลักษณะชอบประจบ ชอบเลีย เพื่อสร้างพรรคพวก แล้วใช้พรรคพวกที่มีมากมายนั้น ในการครอบงำผู้คน โดยนางจิ้งจอกเก้าหาง จะเข้าไปครอบงำผู้มีอำนาจ แล้วยุยงให้ทำลายคนดีๆ รอบตัวไปจนหมด จากนั้น มันก็จะเอาพรรคพวกจิ้งจอกด้วยกันเข้ามาแทนที่ เมื่อรู้ตัวอีกที ผู้มีอำนาจก็ต้องเสื่อมอำนาจลงเพราะจิ้งจอกเก้าหาง การจะปราบจิ้งจอกเก้าหางได้ ต้องอาศัยเทพไก่ ซึ่งจุติมาจากดาวลูกไก่ทั้งเจ็ดดวง หนึ่งในนั้นจะปราบจิ้งจอกเก้าหาง โดยจะมีเซียนองค์หนึ่งมีฤทธิ์มากคอยช่วยเหลือ เทพไก่เป็นคนมีสองบุคลิก หนึ่งจะเป็นคนที่ยอมคนเชื่องและใจดี หนึ่งด้านเป็นคนที่จิกตีและปราบสิ่งไม่ดีให้หมดไป เป็นคนสมถะเรียบง่าย ชอบทำอาหารเลี้ยงคน ชอบทำการเกษตร  

เซียนนาจาเป็นคู่ปรับหงส์ฟ้า
หงส์ฟ้ามีสามชนิด ชนิดที่เป็นคุณแก่มนุษย์และควรรับการนับถือ คือ หงส์ทอง แต่หงส์อีกสองชนิดเป็นกาฬกินี คือ หงส์น้ำ และหงส์ไฟ เป็นองค์ในของคนสองประเภท คือ ในคนที่มีลักษณะเหมือนสนมที่ไม่มีหัวคิดไม่เข้าใจการดำรงอยู่ของประเทศ จะมีหงส์ไฟอยู่ ในคนที่มีลักษณะเป็นขันทีวิปริตไม่รับผิดชอบ คิดสั้นๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า คิดตื้นๆ เอาตัวรอดไปวันๆ เอาแต่ประจบประแจงเอาใจผู้มีอำนาจครอบงำให้คนหลงไปวันๆ เป็นพวกหงส์น้ำ หงส์สองชนิดถูกปราบได้ด้วยเซียนนาจาซึ่งมาในลักษณะผู้มีฤทธิ์มากที่รักเสรี ผู้มีอำนาจมักไม่อาจได้เข้าใกล้เซียน ผู้มีอำนาจน้อยมากที่มีบุญบารมีได้เซียนนาจามาช่วยกิจทั้งยังไม่ค่อยเป็นที่ นิยมชมชอบของคนทั่วไป เนื่องจากไม่อยู่ในกรอบระเบียบของใคร ส่วนหงส์ฟ้าชอบกรอบระเบียบ เอากฎระเบียบมาใช้เป็นอาวุธเป็นเครื่องมือในการควบคุมคนอื่นให้ยอมสยบตน โดยไม่สนใจความคิด, ความรู้สึก หรือความต้องการของใคร เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ฟังใคร หยิ่งทะนง ถือตนว่าอยู่สูง เป็นผู้สูงศักดิ์ งดงามหรือถือชนชั้น

หงส์ทองเป็นคู่ปรับเต่ามังกร
เต่า มังกรดำเป็นสัตว์อัปมงคลอีกชนิดหนึ่ง ที่ทำให้อาณาจักรใหญ่ๆ ล่มสลายลงได้ แต่เต่ามังกรทองไม่เป็นเช่นนั้น เต่ามังกรทองเป็นสัตว์ให้คุณมีพลังคุณธรรมค้ำจุนอยู่ ซึ่งจะอยู่กับขุนนางที่ดี รอบคอบ ใจเย็น ละเอียด เชื่องช้า มีความรู้สะสมมาก และอายุยืนยาว เมื่อเต่ามังกรดำอาระวาด มันจะยุยงให้คนแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนถึงขั้นมีสงครามกลางเมือง จนเมืองล่มสลายลงในที่สุด หงส์ทองจะคุมเต่ามังกร เมื่อประกบเข้ากับเต่ามังกรแล้ว เต่ามังกรไม่อาจต่อกรได้ แต่หงส์ทองจะอยู่ได้ต้องมีมังกรหนุนให้ ถ้าสิ้นมังกรแล้ว หงส์ทองก็อาจเสียท่า คนที่มีหงส์ทอง คือ คนที่งามสง่า บุคลิกดี เป็นนักปราชญ์ที่เรียนมากรู้มาก ไม่นิยมทำสงคราม เข้าใจในเรื่องประเพณีและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง แต่ถ้าเต่ามังกรทองพบกับหงส์ฟ้า (ไม่ใช่หงส์ทอง) หงส์ฟ้าอาจพ่ายแพ้เต่ามังกรทองได้

มังกรทองเป็นคู่ปรับของมังกรดำ
มังกร ดำเป็นสัตว์อัปมงคล มีอำนาจมาก มีฤทธิ์มาก เมื่อได้เป็นใหญ่จะนำสงครามมาสู่ประเทศการมีมังกรทองปราบมังกรดำ ในยามที่จำเป็นก็ต้องทำ คนที่มีมังกรทอง จะดูเป็นคนมีคุณธรรม แต่เจ้าเล่ห์ลึกๆ แบบแนบเนียน และไม่นิยมทำชั่วแบบเปิดเผยนัก

มังกรฟ้าเป็นคู่ปรับของมังกรมาร     
มังกร มารเป็นสัตว์อัปมงคลที่ร้ายกาจกว่ามังกรดำ เกิดจากมังกรดำที่ดูดซับพลังมารเข้าไปจนสำเร็จเป็นมารมังกร แม้แต่มังกรทองก็ไม่อาจต้านทาน จำต้องอาศัยมังกรฟ้าปราบ คือ คนที่มีหัวการเมืองการปกครอง, เหมือนปราชญ์หรือเซียน ชอบอิสระโบยบินไปมา  

เต่ามังกรเป็นคู่ปรับพยัคฆา
พยัคฆา หรือสิงห์ทอง เป็นสัตว์ที่มีคุณเนื่องจากชอบเสียสละชีพเพื่อชาติ เป็นทหารออกรบ แต่เสียที่ไม่ฟังใคร ฟังใครไม่เป็น ไม่เข้าใจเรื่องการเมืองการปกครอง เข้าใจแต่เรื่องการรบ ดีแต่จะใช้กำลัง จึงนำพาประเทศเข้าสู่สงครามได้ง่าย ส่วนเต่ามังกรเป็นขุนนางที่มีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองมาก เก่งแต่ในการเอาตัวรอด ทำให้อายุยืนแล้วรอเวลาฉกฉวยโอกาสเป็นใหญ่ในอนาคต เต่ามังกรจึงหลอกใช้พยัคฆาเป็นเครื่องมือได้ง่าย จากนั้น จึงกำจัดทิ้งในภายหลัง พยัคฆาอยู่กับคนมีกำลังมาก ชอบใช้กำลัง หุนหันพลันแล่น ไม่คิดให้รอบคอบก่อน เต่ามังกรดำเล่นงานพยัคฆาลงได้ แต่เต่ามังกรดำเป็นสัตว์อัปมงคล    

นักรบดำเป็นคู่ปรับซาตาน
นักรบดำ เป็นเทพสวรรค์ที่ยอมให้ตนเองกลายเป็นมารเพื่อกำจัดเหล่าซาตานให้สิ้นไป ในขณะที่ซาตานนิยมครอบงำเอาคนไปเป็นบริวารโดยจะไม่สนใจความสุขทุกข์ของพวก เขาเลย นักรบดำกลับตรงข้าม คือ ชอบปลดปล่อยให้ผู้คนได้รับอิสรภาพ ไม่ชอบการถูกผูกมัด ชอบอิสรเสรี ชอบไปมาคนเดียว นักรบดำเดิมเคยเป็นเพื่อนของซาตานแต่ถูกเขาหลอก แล้วกลับตัวกลับใจได้ จึงหลุดพ้นจากการต้องตกเป็นบริวารของซาตาน เพียงคนเดียว จากนั้น เขาจึงพยายามช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้รอดดังเช่นเขาด้วย ก่อนที่นักรบดำจะรอดได้ต้องเซ่นสังเวยซาตานด้วยผู้หญิงคนหนึ่ง แลกกันอย่างนี้ นักรบดำจึงรอดได้ ซึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย นักรบดำก็คือ สมเด็จพระนเรศวร ที่เอาชนะซาตานได้ในที่สุด

พระอินทร์เป็นคู่ปรับซาตาน
พระ อินทร์เป็นเจ้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งอยู่ใกล้โลก ท่านมีบริวารมากที่สุดในบรรดาเจ้าสวรรค์ทั้งหลาย คือ มีเจ้าสวรรค์รองลงไปทั้งสิ้น ๓๓ องค์ คอยดูแลบริวารอยู่ ในขณะที่สวรรค์ชั้นที่หนึ่ง (ชั้นล่างสุด) มีจำนวนเทวดามากกว่าก็จริง แต่แบ่งการปกครองออกเป็นสี่ส่วน ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่แบ่งกันดูแล ทำให้จำนวนน้อยกว่าพระอินทร์ พระอินทร์ทรงนำทัพสวรรค์ คือ เทพเทวดาทั้งหลายปราบปีศาจร้าย ซึ่งนำทัพโดยซาตาน การกระทำนี้จะก่อให้เกิดสงครามสวรรค์ซึ่งจะใช้ผู้คนมากมายกว่านักรบดำ เนื่องจากนักรบดำจะมีการเสียสละส่วนตัว คือ ยอมเสียสละหญิงอันเป็นที่รักหนึ่ง และตนเองยอมรบอย่างโดดเดี่ยวหนึ่ง ทำให้ผู้คนไม่ต้องเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต แต่พระอินทร์จะไม่ทำเช่นนั้น แต่จะให้เกิดการสู้รบกันมากมาย ด้วยกองทัพที่ประกอบด้วยเหล่าเทพเทวดาจำนวนมากมาย

อนึ่ง สำหรับผู้นำประเทศที่มีอำนาจทั่วโลก จะมีองค์ในต่างกัน ฝรั่งส่วนใหญ่มีองค์ในเป็นมารหรือซาตาน ผู้นำคนไทยมักมีองค์ในเป็นพระโพธิสัตว์, พระอินทร์, พรหม, นารายแต่ก็มีเหมือนกันที่ผู้นำประเทศที่ไปนิยมฝรั่งได้องค์ในเป็นซาตานมา ทำให้มีอำนาจมาก แต่ไม่อาจอยู่ในตำแหน่งได้นาน เพราะองค์ในที่ไม่เกื้อหนุนพระพุทธศาสนาได้อย่างแท้จริง ไม่ถูกต้องตรงทางนี้ ประเทศไทยที่เป็นแดนพุทธ ต้องรักษาพระพุทธศาสนาไว้ องค์ในที่เป็นซาตานจึงอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ เมื่อประเทศต่างๆ แผ่อำนาจเข้าครอบงำกัน ผู้นำที่มีองค์ในเหนือกว่าย่อมต้องชนะแน่นอน ดังนั้น ไม่ต้องรบไม่ต้องสู้ดูองค์ในก็รู้เลย
-จบ-  
มหาธรรม เรื่อง พิธีทำขวัญนาคเรียกขานนาคส่งผลต่อจิตวิญญาณอย่างไร

เมื่อ จะบวชพระภิกษุในประเทศไทย มักมีการบวชแบบเป็นพิธีครบครัน คือ พิธีในส่วนที่นอกจากพระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ประกอบกันขึ้นเป็นพิธีใหญ่ ซึ่งพิธีส่วนที่นอกเหนือเลยมานี้ ไม่ได้กำหนดโดยพระพุทธเจ้า แต่มีพราหมณ์เรียนรู้เรื่องราวในพระพุทธศาสนา แล้วจึงคิดสร้างสรรค์ขึ้น จนกลายเป็นที่นิยมชมชอบกัน พราหมณ์เหล่านี้คิดพิธีกรรมเข้าไปเสริมขึ้นจากเดิมที่เคยมี จากที่เรียบง่ายใช้เงินน้อย เป็นงานใหญ่อลังการใช้เงินมาก ซึ่งไม่ใช่พิธีเดียว แต่มีหลายๆ พิธี ประกอบกันเข้าเป็นพิธีบวชพระใหญ่ หนึ่งในพิธีกรรมที่เป็นพิธีบวชพระใหญ่นั้น คือ พิธีเรียกขานนาค ซึ่งจะเล่าต่อไปว่ามีผลเชิงไสยะอย่างไร

การ บวชพระที่ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เรียบง่ายตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีพิธีพราหมณ์เสริมเข้าไป ทำให้ผู้บวชไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าแทรกร่างเมื่อบวช แต่พิธีที่เสริมเติมเข้าไปนี้ เป็นพิธีพราหมณ์ ซึ่งเก่งในการเชิญพลัง, เชิญจิตวิญญาณต่างๆ เข้ามาอาศัยร่วมในร่างกายมนุษย์ เมื่อพราหมณ์เชิญเทพเจ้าของเขา เช่น พระพรหม, ศิวะ, นาราย เข้าแทรกในร่างผู้บวชได้ พระผู้บวชจะไม่ใช่พระแท้แต่จะกลับกลายเป็นพระที่ถูกพรหมครอบ และทำกิจให้แก่พรหมโลก ทำกิจให้แก่พราหมณ์ พระสงฆ์เหล่านี้จึงอยู่ในผ้าเหลืองได้ไม่นานก็สึกไปห่มผ้าขาว กลายเป็น พราหมณ์ ในที่สุด กล่าวให้ชัดๆ เลยคือ พราหมณ์เจ้าเล่ห์กลุ่มหนึ่ง ขโมยเอามนุษย์ไปเป็นพวกของตน ด้วยการเข้ามาทำพิธีเรียกจิตวิญญาณเข้าร่างมนุษย์ผู้กำลังจะบวช คือ กำลังจะบวชอยู่แล้ว มีจิตวิญญาณเข้าแทรกร่างเสียก่อน ซึ่งเป็นวิชชาของพราหมณ์ ทำแล้วก็จะเข้าลัทธิพราหมณ์ตัดหน้าเสีย ก่อนจะเข้าทางพุทธได้วิชชาทางพุทธ จึงปฏิบัติได้ไม่ถึงอรหันต์ นี่คือเล่ห์เหลี่ยมกลโกงที่มีมานานแล้ว ที่พราหมณ์ทำกลับ หลังจากที่พราหมณ์ถูกเล่นงาน คือ พราหมณ์เคยอยู่ดีกินดีเมื่อมีพวกขอมครองแผ่นดินนี้อยู่ก่อนอาณาจักรสุโขทัย จะเกิดขึ้น แต่พอพ่อขุนรามฯ เอาศาสนาพุทธเข้ามา แล้วเอาพระสงฆ์มาสวดมนต์ตามบ้านแทนพราหมณ์ พราหมณ์ก็หากินไม่ได้ พราหมณ์จึงปรับตัว เข้ากับความเชื่อของคนที่เปลี่ยนไป เมื่อคนนิยมบวชพระกันมากขึ้น พราหมณ์ก็บอกว่าจะมาช่วยทำพิธีบวชให้ แล้วผลก็ออกมาอย่างที่เห็น ที่กล่าวนี้ไม่ได้บอกว่าพราหมณ์ผิดเพราะท่านทั้งหลายนั้นก็ตายไปแล้วทั้งยัง ทิ้งพิธีกรรมเป็นมรดกตกทอดสืบมาให้เราจนถึงทุกวันนี้ แต่เล่าให้ท่านเข้าใจ แยกแยะให้ได้ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแม้ท่านจะมองไม่เห็น อนึ่ง พราหมณ์เหล่านี้มีฤทธิ์และภูมิปัญญาสูงมาก เดิมทีก็อยู่ในพระราชวัง ทำงานให้พระราชาของแผ่นดินสุโขทัย ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขอมเสื่อมอำนาจลง ราชวงศ์สุโขทัยมาแทนที่ พวกเขาต้องตกอับและเป็นคนยากจนแล้วหากินกับชาวบ้านแทน พวกเขากลายเป็นเหมือนชาวบ้าน ปรับตัวทำนาทำไร่ แต่วิชชาความรู้ที่ตกทอดจากบรรพบุรุษนั้นยังไม่เสื่อมหายไปไหน พวกเข้าก็หาวิธีอยู่รอดต่อไป ด้วยการทำพิธีกรรมต่างๆ ให้แก่ผู้ต้องการบวชแทนเพื่อได้มาซึ่งรายได้ เพราะคนเราต้องมีรายได้อยู่บนโลกใบนี้ เขาก็ไม่ผิดที่ต้องมีรายได้จากการทำพิธีกรรมเหล่านั้น ส่วนเราผู้ศึกษาต้องทำความเข้าใจให้รอบด้าน อะไรเป็นอะไรแยกให้ชัดเจน แต่ไม่ได้จะไปจับผิดหรือทำร้าย ทำลายล้างกัน ก็หาไม่ การที่พราหมณ์หารายได้ หาลาภสักการะนั้น ก็ไม่ผิดเลย เป็นปกติของพราหมณ์อยู่แล้วแต่ถ้าพระสงฆ์ไปทำแบบพราหมณ์บ้างเพราะถูกวิชชา สายพราหมณ์ครอบเข้าตอนก่อนบวช หลังบวชจึงไม่อาจรอดพ้นจากวิถีพราหมณ์ได้นั้น นับว่าผิดไปจากความเป็นพระสาวกในพระพุทธศาสนา สมควรจะสึกออกมา เพื่อมีอาชีพพราหมณ์จะดีกว่า เพราะไม่หลอกลวงชาวบ้านว่าตนเป็นพระสงฆ์ ทั้งๆ ที่ยังทำตัวเหมือนพราหมณ์อยู่ คือ ทำกิจ, ทำพิธีกรรม เพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการะ อนึ่ง แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็นับได้ว่าอยู่ในตระกูลพราหมณ์แห่งสุโขทัยเหมือนกัน เพราะตาของผู้เขียนได้วิชชาอาคมสืบมาจากบรรพบุรุษ แต่ท่านไม่ชอบเข้าวัด และไม่ชอบวิสัยพระที่ทำตัวไม่ดีแต่แม้เราเป็นพราหมณ์ที่ตกอับยากจน ก็เข้าใจความคิดของพราหมณ์เหล่านี้ดี ในสมัยโบราณคนสุโขทัยมีวิชชาอาคมไม่น้อยเพราะอะไร เพราะสืบสายจากพราหมณ์ในราชสำนักขอมนั่นเอง แม้ลูกหลานปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ก็กลับมารับขันธ์ขึ้นครูพราหมณ์กันทั่วสุโขทัยไปหมด    

การทำขวัญคือการเรียกจิตวิญญาณเข้าตัว
การ ทำขวัญทุกชนิดคือ พิธีเรียกจิตวิญญาณเข้าตัวเสริมเข้าไปในกายตนเองซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เหมาะสมกับคนบางจำพวก ข้อดีคือได้จิตวิญญาณเพิ่ม อายุขัยยาวขึ้น ได้รับ พลัง, บารมี หรือความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้น แต่มีข้อเสียคือจะได้รับวิบากมากขึ้นร่วมกับจิตวิญญาณที่เข้าแทรกนั้น ถ้าได้จิตที่ดีก็ดีไป ถ้าได้จิตที่ไม่ดีก็แย่ไป นอกจากนี้ยังทำให้สับสนและไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนเป็นคนหลายคนในขณะเดียวกันอีกด้วย ทำให้ไม่ทำกิจตรงไปตรงมา เช่น จะบวชอยู่แล้วคิดว่าจะเป็นพระไปตลอดก็เป็นไม่ได้ เป็นพระชั่วเวลาหนึ่งก็สึกออกมาอีก เป็นต้น อนึ่ง การทำขวัญต่างๆ จะมีจิตวิญญาณแทรกเข้าตัวไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นการทำขวัญเฉพาะเจาะจง เช่น ขวัญนาค คือ เรียกจิตวิญญาณนาคเข้าตัว ก็จะได้จิตวิญญาณนาคเป็นส่วนใหญ่ (ถ้าพิธีกรรมสำเร็จไม่ถูกแทรกด้วยอย่างอื่นนะ) แต่ถ้าเป็นพิธีกรรมกลางๆ ไม่เฉพาะเจาะจงว่าจิตวิญญาณอะไร เช่น ทำขวัญบายศรี, ทำขวัญเรียกขวัญเด็กหลังเกิดมาไม่นาน ฯลฯ แบบนี้ ไม่เฉพาะเจาะจงว่าจะเป็นจิตวิญญาณอะไร แต่จะเป็นจิตวิญญาณของเราเอง หรือที่เคยอยู่ร่วมอาศัยในกายสังขารของเราเองแต่ในอดีตชาติทั้งหลาย แล้วแต่ว่าจะเป็นดวงไหนจุติเข้ามาเสริมก่อน อนึ่ง กายสังขารของคนนั้น จะมีจิตวิญญาณจุติเข้ามาดวงแรก เรียกว่า ปฏิสนธิจิต ซึ่งมาขณะที่พ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กัน กำลังผสมปราณเข้าด้วยกันคือเซลก็กำลังผสม (ปฏิสนธิ) กัน ซึ่งจิตดวงนี้จะเป็นตัวกำหนดเพศของทารก แล้วจะอยู่ในสภาวะเหมือนเข้าฌานหลับยาวไปไม่ตื่นเลย จนกว่าที่จะได้รับการปลุกขึ้น เมื่อจิตดวงนี้ประจำกายสังขารแล้วเราจะเรียกว่า จิตสังขาร หรือ จิตเดิมแท้ คือ ดวงแรกที่เข้าสู่ร่าง ซึ่งจะทำให้สังขารนั้นๆ สำเร็จธรรมขั้นไหนให้ดูที่จิตสังขารนี้ที่ถูกปลุกขึ้นนี้เป็นสำคัญ ถ้ามนุษย์มีจิตหลายดวง ดวงที่อยู่ในสุดคือจิตสังขารนี้ ไม่สำเร็จธรรม ก็ยังไม่นับให้ว่าเป็นพระอริยบุคคล ต่อให้มีจิตดวงอื่นๆ เข้ามาจุติแล้วแต่เป็นอรหันต์ก็ตาม เราจะเรียกประเภทนี้ว่า คนธรรมดาที่ไม่บรรลุธรรมแต่มีองค์อรหันต์ประจำกายถ้า เขาเรียนรู้วิชชาพราหมณ์ขั้นสูงก็จะสามารถใช้ความสามารถขององค์เทพประจำตัว ที่เป็นอรหันต์นี้ในการทำกิจได้ คนอื่นก็จะคิดว่าคนผู้นั้นสำเร็จเป็นอรหันต์ แต่แท้แล้วนี่ไม่ใช่วิชชาสายพุทธ เราจะนับให้ว่าสำเร็จตามหลักพุทธไม่ได้ เรียกได้ว่าสำเร็จวิชชาพราหมณ์หรือเซียนขั้นสูงได้จิตวิญญาณเป็นเทพประจำกาย ที่มีธรรมขั้นอรหันต์นั่นเอง แบบนี้ ผู้เขียนขอเรียกว่า เซียนอรหันต์ แต่ไม่ใช่ พระอรหันต์ ในทางเซนแท้ๆ จะตรวจดูจิต ที่เรียกว่า จิตเดิมแท้ นี้ ซึ่งถ้าหาไม่เจอ ปลุกไม่ตื่น ทำให้บรรลุไม่ได้ ก็ไม่นับให้ว่าได้สำเร็จธรรมเป็นอริยบุคคล จัดได้แค่เป็น เซียน ดังที่กล่าวมาแล้ว

ต่อมาเป็นเรื่อง จุติจิต ซึ่งมาจะในรูป จิตวิญญาณ ดวงอื่นๆ ต่อไปตามลำดับทั้งหมดตลอดชีวิตหลายดวงด้วยกัน จุติเข้ามาในร่างกายเราเรื่อยๆ เป็นระยะๆ ต่างกันไป แต่จะสูงสุดเมื่อเป็นวัยรุ่น ผ่านวัยรุ่นไปแล้วคือเมื่อแต่งงานแล้วก็จะลดลงไปเรื่อยๆ และเหลือสองดวงสุดท้ายก่อนตาย และเมื่อเหลือดวงเดียวในกายจะตายภายในเจ็ดวัน กรณีที่คนเข้าสู่วัยรุ่นแล้วบวชด้วยจิตที่ตรงต่อพระพุทธศาสนาอย่างเดียวเท่า นั้น ก็ทำให้เหลือแต่จิตดวงเดียวในกาย ถ้าได้ห่มผ้าเหลืองจะไม่ชะตาขาด ต่ออายุไปได้ยาวเกินเจ็ดวัน แต่คนส่วนใหญ่ที่จะบวช มักมีดวงจิตมากว่า ๑ ดวงเสมอ และยังมีพราหมณ์คอยทำพิธีเรียกจิตนาคเข้าตัวเสริมให้อีก จึงทำให้ยากที่ผู้บวชเข้าไปในพุทธศาสนาจะบวชอยู่ได้ตลอดชีพ เพราะมีหลายจิต ก็เหมือนคนมีหลายใจ นั่นเอง อนึ่งในปัจจุบันนี้จิตวิญญาณต้องการหลุดพ้นกันมาก เมื่อจุติเข้ามาในร่างกายมนุษย์แล้ว มักเร่งปฏิบัติจนบรรลุได้มรรคผลกันมากมายแต่มนุษย์เจ้าของร่างกลับไม่ได้ มรรคผลเราไม่เรียกมนุษย์เหล่านี้ที่มีจิตวิญญาณแทรกที่เป็นจิตอริยะว่า อริยบุคคล เพราะจิตวิญญาณเหล่านี้ไม่เที่ยง สามารถจุติออกจากร่างกายไปได้ บุคคลผู้นั้นจะนับเป็นอริยบุคคลได้อย่างไร ในเมื่อความเป็นบุคคลของเขา นับจากจิตสังขาร หรือจิตเดิมแท้ที่ประจำในกายสังขารนั้นไม่ออกไปไหนได้นั่นเอง การศึกษาเซน ต้องให้ลึกซึ้งเรื่องนี้ดีๆ ว่าธรรมนั้นได้ถึงจิตเดิมแท้หรือไม่ หรือแค่มีจุติจิต เป็นจิตวิญญาณจุติมาอยู่ร่วม มาแทรกเข้าร่างกายเรา แล้วเขาต่างหากที่ได้มรรคผลไป และอาจจรจุติออกไปเมื่อไรก็ได้ และบุคคลผู้นั้นไม่ได้มรรคผลอะไรแท้จริงเลย อนึ่ง มี     คำสองคำในพระพุทธศาสนาที่เราควรศึกษาให้ลึกซึ่งท่องแท้คือ คำว่า ปฏิสนธิจิต ซึ่งจะกลายเป็นจิตสังขารต่อไปในอนาคต หรือในมหายานเรียกว่า จิตเดิมแท้ ซึ่งก่อนจะเข้ามาประสานในเซลที่กำลังปฏิสนธิกันได้นั้น ต้อง สลาย วิญญาณที่ห่อหุ้มออกก่อน วิญญาณดับสลายแล้ว เหลือแต่จิต จึงจุติเข้าในเซลที่ได้รับการปฏิสนธิได้ เพราะมันเล็กมาก แล้วอยู่ในนั้น ทำให้เซลค่อยๆ เจริญเติบโตต่อไปในอนาคต เป็นจิตที่กำหนดเพศ คือ ถ้าจิตวิญญาณตอนจะเข้าท้องแม่นั้น เกิดความรู้สึกว่าชอบแม่ไม่ชอบพ่อ ก็จะได้เพศชาย แต่ถ้าชอบพ่อไม่ชอบแม่ก็จะได้เพศหญิงดังกล่าว ดังนั้น จิตดวงนี้จึงสำคัญต่อกายมากเพราะประสานเข้ากับเซลเริ่มต้นหนึ่งเดียวนั้น ก่อนที่จะเติบโตพร้อมเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างกายทั้งมวล ขณะที่จุติจิต อาจจรเข้าและออกได้เรื่อยๆ เพราะเป็น จิตวิญญาณ หรือที่คนไทยเรียกว่า เจตภูต ที่จรเข้าจรออกในร่างกายได้ตลอดเวลา ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงเจตภูตไว้ว่ามีพระราชาองค์หนึ่งตื่นขึ้นมาพบตนเอง ตนเองอีกตัวนั้นได้พูดว่ากล่าวตักเตือนตัวเองให้ทำความดีเสียบ้าง พระราชาก็สับสนและงุนงงว่าตนเองมีอีกตัวได้อย่างไร นี่แหละคือ เจตภูต หรือจุติจิต นอกจากนี้ จุติจิตมีสภาพเป็น จิตวิญญาณ นั้น ยังสามารถหาร่างกายใหม่ได้เรื่อยๆ ที่เราเคยเห็นในหนังพวกปอบซึ่งก็มีอยู่จริง พวกนี้เป็นจิตที่กลัวตาย กลัวว่าตนจิตวิญญาณสลายแล้วจะตาย กลัวตายเหมือนสัตว์ทุกชนิดที่มีจิตใจนะแหละ ดังนั้น พวกเขาจะไม่ยอมตายไปพร้อมกายสังขารนั้นๆ จะหาร่างกายอาศัยใหม่ เช่น คนแก่ป่วยนานมากอยากตายแต่ไม่ตายเสียทีเพราะทรมานนานเกินไป ก็จะหาลูกหลานมาสืบทอดจิตวิญญาณนี้ต่อ เรียกว่า ฝากผีฝากไข้ ซึ่งพ่อแม่ปู่ย่าตาตาย จะรอเราไปรับทอดผีที่อยู่กับท่านตอนที่ท่านป่วยและใกล้ตาย ผีตนนี้ หรือจิตวิญญาณก็ดี หรือจุติจิตนี้ก็ดี หรือเจตภูตนี้ก็ดี จะเอาๆ ออกๆ ในร่างกายเรา ทำให้เราเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายได้ ที่เราเรียกว่า ผีเข้าผีออก โดยเฉพาะคนแก่ ที่มีจิตวิญญาณสองดวง ดวงหนึ่งคือ จิตสังขาร จะแตกดับขันธ์ไปพร้อมสังขาร และอีกดวงหนึ่ง ก็คือ จิตวิญญาณ ที่จะไม่สลายไปตามสังขาร แต่จะจรจุติออกก่อนที่กายสังขารจะแตกดับ แล้วหาสังขารอยู่ใหม่ หรือหาที่อยู่อาศัยใหม่อื่นๆ แม้แต่จิตนาค ที่ทำพิธีเรียกขวัญเข้านี่ก็เช่นเดียวกัน

การทำขวัญนาค คือ การเรียกจิตวิญญาณนาค (พญานาค) เข้าตัว
พญา นาคเป็นสัตว์ในโลกทิพย์ อยู่ในสภาพที่เป็นจิตวิญญาณ ไม่มีกายสังขารบนโลก เมื่อถูกเรียกเข้าตัวมนุษย์ นาคจะมาทันที เพราะสัตว์ในโลกทิพย์ทุกชนิด อยากเกิดเป็นมนุษย์ อยากมีกายสังขารมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อเรียกเข้า เขาก็มาทันที เมื่อนาคเข้ากายสังขารมนุษย์แล้ว ทำให้มนุษย์นั้นมีจิตที่ดีต่อพุทธศาสนา เพราะนาคตั้งจิตมาดูแลพุทธศาสนา แต่จะส่งผลให้พระรูปที่ถูกนาคแทรกนั้น ต้องสึกออกมา ไม่บวชตลอดชีพ ซึ่งพ่อแม่ก็ชอบเช่นนั้น เพราะเกรงว่าถ้าลูกบวชตลอดชีวิตจะไม่มีใครดูแลพ่อแม่ในอนาคต ไม่มีใครช่วยทำมาหากิน 

ดังนั้น พ่อแม่จึงชอบให้ทำพิธีนี้ และต่อด้วยพิธีทำให้พระรู้สึกกตัญญูต่อพ่อแม่ (เวลาทำขวัญนาค ต้องสอนเรื่องความกตัญญู จนบางคนมีร้องไห้กันเลย) นี่เพราะสังคมต้องการให้พระรูปนั้นบวชแค่ชั่วคราว ไปศึกษาแค่ชั่วคราว เพื่อให้ได้เป็นคนดีบ้างในระดับหนึ่งแล้วสึกออกมาทำหน้าที่ฆราวาสต่อไป นอกจากนี้จิตวิญญาณนาคที่เรียกเข้าตัวมานั้น ยังส่งผลให้พระมีกามราคะมากขึ้นด้วย 

ดังนี้ พระไม่ว่ากี่รูป ถ้าทำพิธีเรียกขวัญนาคเข้าตัว ก็ต้องสึกเหมือนกันหมดทุกรูป เพราะทนต่อในอำนาจแห่งกามราคะไม่ได้ ถูกจิตวิญญาณนาคคุมพาไป ดังนั้น ไม่ใช่แค่ว่าพราหมณ์ผิดแต่ว่าแม้แต่คนไทยเองก็มีความต้องการให้พราหมณ์ทำ พิธีอยู่แล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าลูกของตนจะไม่บวชตลอดชีพ ตนจะไม่เสียลูกชายไปให้พระพุทธศาสนา ตนจะได้ลูกชายกลับคืนมาทำงานหากินเลี้ยงตัวเองต่อไป เอาเข้าจริงจะมีพ่อแม่กี่คนที่อยากให้ลูกบวชตลอดชีพจริงๆ น้อยมาก ถ้าถามกันจริงตอบจริงใจนะ ดังนั้น พราหมณ์จึงไม่ผิดที่ทำแบบนี้ เขาทำไปตามความต้องการของพ่อแม่ผู้บวชนั้น ผู้บวชนั้นถ้าปรารถนาจะอยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีพ ก็ต้องบวชแบบดั้งเดิม ไม่มีพิธีพราหมณ์ประกอบ ก็จะไม่มีจิตวิญญาณอื่นเข้าแทรกได้ และเมื่อนั้น ถ้าเตรียมใจเต็มที่ดีตรงต่อพุทธศาสนาอย่างเดียว จะมี จิตวิญญาณ อยู่ในกายเพียง ๑ เดียว คือ พระสาวกในพระพุทธศาสนาเท่านั้น และจะอยู่ในผ้าเหลืองได้ตลอดชีพแต่ถ้ามีจิตวิญญาณอื่นๆ แทรกเข้าก็จะมีวิสัยที่อยากออกจากผ้าเหลืองได้ ซึ่งเป็นวิธีที่พญานาคจะได้กายสังขารเหมือนมนุษย์เพื่อศึกษาธรรมในผ้าเหลือง ต่อไป
-จบ-
มหาธรรม เรื่อง ตาทิพย์ทะลวงธาตุทะลวงขันธ์

เมื่อ ท่านเปิดตาทิพย์สำเร็จแล้ว นับว่าสำเร็จเพียงขั้นที่หนึ่ง ต้องฝึกต่อไป ตาทิพย์นั้นฝึกได้หลายขั้น ขั้นสูงสุด สามารถเพ่งทะลวงได้สามภพ และได้ทุกสิ่ง เช่น กายในกายคนนั้น มีหลายกายทิพย์ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถ้าฝึกตาทิพย์แรกๆ จะเห็นชั้นนอกสุด ต้องเพ่งต่อ ลึกลงไปเรื่อยๆ จึงเห็นลงไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ถูกทดสอบและ ลวงตา ได้ ดังต่อไปนี้

เพ่งขันธ์ห้าด้วยตาทิพย์
ท่าน ไม่ควรเชื่อพระพุทธเจ้าเพียงเพราะว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า เรื่องขันธ์ห้านั้น ถ้าท่านจะเชื่อ ให้ปฏิบัติจนเห็นแจ้งด้วยตนเอง พิสูจน์ให้แจ้งชัดเองก่อนจึงเชื่อ เมื่อท่านสำเร็จตาทิพย์แล้ว ก็เพ่งดูธรรมะ ธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ ให้เพ่งดูขันธ์ห้าดังต่อไปนี้

กำหนดนิมิตขึ้นเป็นพระพุทธรูปหนึ่งองค์ลอยอยู่ตรงหน้า แล้วกำหนดด้วยมโนมยิทธิว่า

๑)          เพ่งรูปขันธ์        กำหนดจิตว่า รูปขันธ์จงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๒)          เพ่งเวทนาขันธ์   กำหนดจิตว่า เวทนาขันธ์จงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๓)          เพ่งสัญญาขันธ์ กำหนดจิตว่า สัญญาขันธ์จงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๔)         เพ่งสังขารขันธ์ กำหนดจิตว่า สังขารขันธ์จงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๕)         เพ่งวิญญาณขันธ์ กำหนดจิตว่า วิญญาณขันธ์จงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ

เพ่ง แล้วท่านเห็นอย่างไร ครูบาอาจารย์อย่าได้เฉลย ให้เขาเห็นเอง แล้วถามเขา จากนั้นจึงค่อยเฉลยว่าใช่หรือไม่ เขาจะเห็นได้เมื่อจิตละเอียดผ่านด่านต่างๆ ได้ ขันธ์ทั้งห้านี้เหมือนเปลือกห่อหุ้มกันเป็นชั้นๆ ถ้าจิตเราละเอียดลึกลงเป็นขั้นๆ ลงไปได้ ก็จะทะลวงผ่านสิ่งห่อหุ้มปรุงแต่งนี้ลงไปได้เรื่อยๆ ตามลำดับไป ถ้าศิษย์ไม่ผ่านด่านหรือตอบไม่ได้ ให้ใช้ปัญญาช่วยก็จะผ่านด่านได้เช่น เขาอาจเห็นพระพุทธรูปค้างอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยน ไปเป็นอย่างอื่นเลย คือ ติดรูป ติดในรูปที่กำหนดขึ้นมานั้น ยังไม่เห็นเวทนาในรูปนั้น

เพ่งธาตุเจ็ดด้วยตาทิพย์
ท่าน ไม่ควรเชื่อพระพุทธเจ้าเพียงเพราะว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า เรื่องธาตุเจ็ดนั้น ถ้าท่านจะเชื่อ ให้ปฏิบัติจนเห็นแจ้งด้วยตนเอง พิสูจน์ให้แจ้งชัดเองก่อนจึงเชื่อ เมื่อท่านสำเร็จตาทิพย์แล้ว ก็เพ่งดูธรรมะ ธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ ให้เพ่งดูธาตุเจ็ดดังต่อไปนี้

กำหนดนิมิตขึ้นเป็นพระพุทธรูปหนึ่งองค์ลอยอยู่ตรงหน้า แล้วกำหนดด้วยมโนมยิทธิว่า

๑)          เพ่งธาตุดิน       กำหนดจิตว่า ปฐวีธาตุจงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๒)          เพ่งธาตุน้ำ        กำหนดจิตว่า อาโปธาตุจงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๓)          เพ่งธาตุลม       กำหนดจิตว่า วาโยธาตุจงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๔)         เพ่งธาตุไฟ        กำหนดจิตว่า วาโยธาตุจงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๕)         เพ่งวิญญาณธาตุ          กำหนดจิตว่า วิญญาณธาตุจงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๖)          เพ่งมโนธาตุ      กำหนดจิตว่า มโนธาตุจงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ
๗)         เพ่งอากาสธาตุ  กำหนดจิตว่า อากาสธาตุจงปรากฏชัด บริกรรมซ้ำไปเรื่อยๆ

เพ่ง แล้วท่านเห็นอย่างไร ครูบาอาจารย์อย่าได้เฉลย ให้เขาเห็นเอง แล้วถามเขา จากนั้นจึงค่อยเฉลยว่าใช่หรือไม่ เขาจะเห็นได้เมื่อจิตสัมผัสธาตุต่างๆ ได้ ธาตุทั้งเจ็ดนี้เหมือนสิ่งที่ปรุงประกอบผสมกันมา ถ้าจิตเราจับความเป็นธาตุนั้นๆ ได้ ก็เห็นลักษณะที่เป็นธาตุนั้นๆ ที่ปรุงแต่งนี้แต่ละชนิด ตามลำดับไป ถ้าศิษย์ไม่ผ่านด่านหรือตอบไม่ได้ จึงให้ใช้ปัญญาช่วยก็จะผ่านด่านได้เช่น เขาอาจเห็นพระพุทธรูปมีสีหนึ่งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นเลย คือ จิตยังติดธาตุใดธาตุหนึ่งที่ก่อเป็นรูปนั้น ยังไม่เห็นธาตุอื่นๆ
แหล่งข้อมูล

http://library.uru.ac.th/webdb/images/006.htm
กลับไปหน้าแรก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ